หนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการศึกษาระดับอุดมศึกษา Times Higher Education (THE) ของอังกฤษ เผยผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัย 1,250 แห่งทั่วโลก
โดยพิจารณาจากการสอน รายได้จากการวิจัย จำนวนงานวิจัย เงินทุนจากภาคอุตสาหกรรม สัดส่วนนักศึกษาและเจ้าหน้าที่ต่างชาติ ปรากฏว่า ม.ออกซฟอร์ด และเคมบริดจ์ ของอังกฤษยังคงครองอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ
ที่น่าสนใจในปีนี้คือ มหาวิทยาลัยในจีนขึ้นแท่นเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ในเอเชียเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการจัดอันดับของ THE เมื่อปี 2011 ซึ่งก็คือ ม.ชิงหัว มหาวิทยาลัยเก่าแก่อายุ 107 ปี ในกรุงปักกิ่ง ที่ขยับขึ้นมาจากปีที่แล้ว 8 อันดับมาอยู่ในอันดับที่ 22 ซึ่งถือว่าอันดับขยับมากที่สุดในกลุ่มท็อป 30 ดาวรุ่งอีกหนึ่งแห่งคือ ม.เจ้อเจียง ทางตอนใต้ของจีน ที่กระโดดขึ้นมา 76 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 101
ไซม่อน มาร์กินสัน ศาสตราจารย์จาก ม.ออกซฟอร์ด เผยถึงความก้าวหน้าของ ม.ชิงหัว ว่า สถาบันของจีนอาจขึ้นแท่นเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลกจากการวิจัยด้านคณิตศาสตร์และคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นสองสิ่งที่จีนก้าวแซงหน้าสหรัฐและยุโรป จีนก้าวหน้าเร็วมากโดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์กายภาพและวิศวกรรม
ส่วนมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ แชมป์เก่าสถาบันที่ดีที่สุดในเอเชียถูก ม.ชิงหัวเบียดลงมาอยู่อันดับที่ 23 มหาวิทยาลัยแห่งนี้จัดเตรียมหลักสูตรแบบกว้างที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาสั่งสมประสบการณ์ เช่น หลักสูตรนักศึกษาแลกเปลี่ยน การฝึกงานในสถานประกอบการ หลักสูตรปริญญา 2 ประเทศ โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก โดยเน้นการวิจัยและทำงานร่วมกับพันธมิตรในภาคอุตสาหกรรมและรัฐบาล
ส่วนประเทศอื่นในเอเชีย อาทิ เกาหลีใต้ มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ไต่ขึ้นมาอยู่ในอันดับ 63 จากอันดับ 74 ร่วม ญี่ปุ่นมีมหาวิทยาลัยติดอันดับทั้งหมด 103 แห่ง แซงหน้าอังกฤษขึ้นเป็นประเทศที่มีมหาวิทยาลัยติดอันดับมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐที่มี 173 แห่ง ม.โตเกียว คือมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของประเทศ และอันดับ 42 ของโลก ส่วนของไทยนั้น ม.มหิดล ดีที่สุด และอยู่อันดับ 601-800 ม.เชียงใหม่ อันดับ 801-1‚000 ด้านอินเดียแม้จะไม่ติดท็อป 200 แต่ก็มีมหาวิทยาลัยติดอันดับเพิ่มขึ้นจาก 42 แห่งเป็น 49 แห่ง