เบื้องหลังยกสีจิ้นผิงเทียบประธานเหมา ชูแนวคิดขึ้นหิ้งรัฐธรรมนูญพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน
เปิดปีนี้มา สีจิ้นผิงมีแถลงการณ์ 2 ฉบับที่แสดงลักษณะเด่นของเขาออกมา คือมีความแข็งกร้าว แต่หลีกเลี่ยงที่จะปะทะอย่างโจ่งแจ้ง พยายามใช้ไม้นวมแต่ขณะเดียวเดียวกันก็ถือไม้แข็งไว้ในมือ แถลงการณ์ที่ชัดเจนคือท่าทีของเขาต่อไต้หวัน และการสั่งให้กองทัพเตรียมตัวกับการสู้รบ
สีจิ้นผิง กุมอำนาจอย่างค่อนข้างเบ็ดเสร็จตั้งแต่การประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์ ครั้งที่ 19 เดือนตุลาคม 2017 ด้วยการสร้างปรากฏการณ์สถาปนาแนวคิด "สีจิ้นผิง" เป็นอุดมการณ์หลักของประเทศอย่างเป็นทางการ เพื่อผลักดันจีนเข้าสู่ยุคใหม่ จะทำให้สีจิ้นผิงได้รับการเทียบชั้นกับ เหมาเจ๋อตง ผู้พลิกแผ่นดินมังกรให้กลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ในทุกวันนี้
ในครั้งนั้น คณะกรรมการมากกว่า 2,200 คนของพรรคที่เข้าร่วมประชุมมีมติยอมรับเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีคัดค้านหรืองดออกเสียงกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญของประเทศ ให้บรรจุ "หลักคิดด้านสังคมนิยม และลักษณะแบบจีนสำหรับยุคสมัยใหม่โดย สีจิ้นผิง" เป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์การทำงานของพรรครัฐบาลในอีก 5 ปีข้างหน้า ตามที่มีการคาดการณ์กันก่อนหน้านี้ รวมถึงการเข้าสู่วาระการบริหารประเทศสมัยที่ 2 ของสีอย่างเป็นทางการต่ออีก 5 ปี นับจากปี 2018 เป็นต้นไป
พื้นฐานของหลักคิดสีจิ้นผิงเกี่ยวข้องกับหลักการพัฒนาพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีมาอย่างยาวนาน ครอบคลุมการบริหารจัดการทั้งฝ่ายบริหารและประชาชน ตั้งแต่การมอบอำนาจการนำบริหารงานทุกด้านให้แก่พรรคคอมมิวนิสต์ ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง แก้ไขและปรับปรุงกฎหมายและการบริหารวินัยพรรคในระดับปฏิวัติอย่างเข้มข้น
ทั้งนี้ สีจิ้นผิงเป็นผู้นำคนที่ 3 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มีชื่อปรากฏในร่างกฎหมายสูงสุดของประเทศ โดยบุคคลแรกคือ เหมาเจ๋อตง ซึ่งเป็นผู้สถาปนาประเทศจีนภายใต้ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ บุคคลต่อมาคือ เติ้งเสี่ยวผิง ริเริ่มนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศมุ่งพัฒนาสู่ความทันสมัย แต่แนวคิดของเติ้งได้รับการระบุในรัฐธรรมนูญหลังจากที่เขาถึงแก่อสัญกรรมไปแล้วในปี 1997
ด้วยเหตุนี้ การเอ่ยชื่อของสีจิ้นผิงในกฎหมายสูงสุดของประเทศ จึงนับเป็นการยกฐานะและเสริมอิทธิพลของเขาให้เทียบเท่าสองผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตไปโดยปริยาย
นักวิชาการด้านการเมืองและการปกครองประเทศจำนวนมาก ต่างชี้ว่า การยกแนวคิดของสีจิ้นผิงให้บรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญ เท่ากับเป็นใบเบิกทางอำนาจเกือบจะเบ็ดเสร็จให้กับเขา อาทิ วิลลี่ ลัม ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนศึกษา ณ ม.ฮ่องกงของจีน ที่มองว่า ในเวลานี้สีจิ้นผิงมีรัฐธรรมนูญคอยหนุนหลัง จะช่วยให้การตัดสินใจบริหารประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น ไร้เสียงคัดค้าน อาจถึงขั้นได้ครองตำแหน่งผู้นำตลอดชีวิตตราบเท่าที่สุขภาพร่างกายอำนวย
แนวคิดของสีจิ้นผิงเน้นการดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะตามหลักสังคมนิยม โดยให้นับว่าเป็นหลักการถือกำเนิดใหม่ของประเทศชาติ ที่หลุดพ้นจากอิทธิพลและการถูกย่ำยีคุกคามของชาติตะวันตก โดยส่งเสริมแนวคิดที่เรียกว่า "ความฝันแบบจีน" หรือ Chinese Dream เป็นแนวคิดย่อยขึ้นมา เช่น การสร้างกลุ่มนักคิดรูปแบบใหม่ตามแนวทางจีน การพัฒนาระบบการศึกษาให้ดีขึ้นให้เข้ากับระบอบสังคมนิยมที่ยกประโยชน์ต่อประเทศชาติและสังคมเป็นหลัก การปรับปรุงกองทัพจีนให้ทันสมัย หรือการพัฒนาระบอบสังคมนิยมโดยรวมทั้งหมดให้เข้ากับยุคสมัยตลอดเวลา