WORLD NEWS

โดย M2F Writer

27 พฤศจิกายน 2561 : 13:51 น.

วิกฤตการมาถึงบ้านทรัมป์แล้ว

สหรัฐสั่งปิดพรมแดนที่ติดต่อกับประเทศเม็กซิโกเป็นการชั่วคราว ก่อนที่จะเปิดให้ผ่านเข้าออกได้ตามปกติในเวลาต่อมา หลังเกิดเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐกับกลุ่มผู้อพยพจำนวนหนึ่งที่พยายามจะข้ามรั้วพรมแดนเมืองตีฮวนนา ประเทศเม็กซิโก เพื่อข้ามไปยังสหรัฐ เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2561 หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ประกาศกร้าวว่าจะไม่ยอมให้ผู้อพยพผ่านเข้ามาในประเทศได้ง่ายๆ

ความตึงเครียดที่ด่านชายแดนซานอีซิโดร ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเมืองซานอีซิโดรของสหรัฐ และเมืองตีฮวนนา ของเม็กซิโก ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังคาราวานผู้อพยพจากอเมริกากลางหลายพันคน ที่ส่วนใหญ่เดินเท้ามาจาก 3 ประเทศ คือกัวเตมาลา ฮอนดูรัส และเอลซัลวาดอร์ เดินทางผ่านเม็กซิโกมาถึงชายแดนสหรัฐ และปักหลักอยู่ที่สนามกีฬาในเมืองตีฮวนนา เพื่อรอข้ามไปยังสหรัฐ

ก่อนจะเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นเมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเม็กซิโกพยายามเข้าไปสลายการชุมนุมประท้วงของกลุ่มผู้อพยพที่เริ่มไม่พอใจ หลังถูกเจ้าหน้าที่ของเม็กซิโกขัดขวางและสั่งให้รอจนกว่าจะได้รับอนุญาตให้ลี้ภัย แต่ก็เหมือนจะไร้ความหวัง โดยต่างส่งเสียงตะโกนประท้วงว่า “เราไม่ใช่อาญากร เราเป็นคนทำงานหนัก” จนทำให้กลุ่มหนึ่งแตกฮือและวิ่งกรูกันไปที่พรมแดนสหรัฐ

กลุ่มผู้อพยพที่บางคนถือธงฮอนดูรัสมุ่งหน้าไปยังรั้วชายแดน และเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐ ซึ่งมีทั้งตำรวจ ทหาร สมทบอยู่ และเปิดฉากยิงแก๊สน้ำตาสกัด โดยมีเฮลิคอปเตอร์ของทางการสหรัฐและเม็กซิโกบินวนสังเกตการณ์อยู่โดยรอบ มีผู้อพยพหลายคนติดอยู่กลางวงล้อมของเจ้าหน้าที่สหรัฐและเม็กซิโก หญิงสาวคนหนึ่งล้มลงหมดสติอยู่กับพื้น และเด็ก 2 คนส่งเสียงร้องไห้ท่ามกลางกลุ่มควันของแก๊สน้ำตา

ด้านสำนักศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐ ชี้แจงผ่านทวิตเตอร์ว่า เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องยิงแก๊สน้ำตาตอบโต้กลุ่มผู้อพยพ ซึ่งขว้างปาข้าวของใส่พวกเขา ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานทุกคน

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์แสดงความวิตกเกี่ยวกับคาราวานผู้อพยพจากอเมริกากลาง ซึ่งกำลังมุ่งหน้ามาเพื่อขอลี้ภัยในสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวฮอนดูรัสที่หนีความยากจนและความรุนแรงในบ้านเกิด โดยกลุ่มผู้อพยพยืนยันว่าจะปักหลักอยู่ในเมืองตีฮวนนา จนกว่าจะขอลี้ภัยในสหรัฐได้ แม้ว่าสหรัฐจะมีมาตรการที่เข้มงวดขึ้น

“พวกเขาต้องการให้เรารออยู่ในเม็กซิโก แต่ผมเข้าตาจนและไม่สามารถรอได้อีกต่อไป ลูกสาวตัวน้อยของผมกำลังป่วย และผมไม่มีเงินแม้แต่ซื้อนม” โจเซฟ การ์เซีย วัย 32 ปี ผู้อพยพจากฮอนดูรัส กล่าว

ขณะที่ทรัมป์ได้ส่งกองกำลังทหารกว่า 5,000 นายไปยังพรมแดนเม็กซิโก เพื่อเพิ่มความเข้นข้นในการป้องกันชายแดน และส่งทีมวิศวกรเข้าไปติดตั้งเครื่องกีดขวางเพิ่มเติม พร้อมขู่ว่าจะสั่งปิดพรมแดนที่จุดดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม มาตรการของทรัมป์สร้างความกังวลแก่กลุ่มธุรกิจ ดันแคน วู้ด ผอ.สถาบันเม็กซิโกแห่งศูนย์วิจัยวิลสัน ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กล่าวว่า การปิดพรมแดนเป็นการตอบสนองที่เกินกว่าเหตุ ที่อาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจเป็นมูลค่านับล้านเหรียญสหนัฐ

ทั้งนี้ ข้อมูลจากองค์กรกำกับการบริหารงานภาครัฐแห่งสหรัฐ (GSA) ระบุว่า ในแต่ละวันโดยเฉลี่ยจะมีรถยนต์ประมาณ 70,000 คัน และประชาชนราว 20,000 คน ข้ามจากเม็กซิโกมายังสหรัฐ ผ่านทางด่านซานอีซิโดร

ข่าวเด่น

ข่าวที่น่าสนใจ