จับตาการเลือกตั้งที่จะชี้ชะตาทรัมป์และฝ่ายต่อต้าน
โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐมาจะครบ 2 ปี หรือครึ่งทางวาระ 4 ปี แต่เป็น 4 ปีที่หลายคนในสหรัฐรู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหวกับนโยบายชาตินิยมทางเศรษฐกิจ จนก่อสงครามการค้ากับจีนและชาติอื่นๆ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เสื่อมทรามลง และกระแสการเหยียดเชื้อชาติและต่อต้านผู้อพยพที่รุนแรง ทว่า ทรัมป์มีไม้เด็ดที่ทำให้ผู้สนับสนุนศรัทธาในผลงานเขา คือ เศรษฐกิจที่ดีขึ้น การว่างงานลดลง และการกล้าเผชิญหน้ากับจีน ที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่าสหรัฐยังรักษาตำแหน่งมหาอำนาจเดี่ยวของโลกเอาไว้ได้
แต่ฝ่ายต่อต้านทรัมป์ยังมีโอกาสขัดขวางนโยบายสุดโต่งของเขา และถือเป็นโอกาสสุดท้าย หากพลาดไปแล้วจะไม่มีใครที่จะขวางทางเขาได้เลยจนกระทั่งหมดวาระในอีก 2 ปีข้างหน้า โอกาสที่ว่านี้ คือการเลือกตั้งกลางเทอม ซึ่งหมายถึงกลางเทอมในตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 435 ที่นั่ง และสมาชิกวุฒิสภา 35 ที่นั่ง จาก 100 ที่นั่ง และผู้ว่าการรัฐและผู้ว่าการดินแดนในปกครองของสหรัฐอีก 39 แห่ง ในวันที่ 6 พ.ย. หรือวันพรุ่งนี้ตามเวลาท้องถิ่น
ทำไมการเลือกตั้งครั้งนี้จึงจะสามารถหยุดยั้งทรัมป์ได้? เพราะในเวลานี้สภาคองเกรสมีเสียงส่วนใหญ่มาจากพรรครีพับลิกันทั้งสองสภา และเนื่องจากสมาชิกส่วนใหญ่ในสภาเป็นคนพรรคเดียวกันกับทรัมป์ทั้งหมด จึงง่ายที่จะผลักดันนโยบายตามแนวทางทรัมป์ หากครั้งนี้พรรคเดโมแครตพลิกกลับจากเสียงข้างน้อยมาเป็นเสียงข้างมากในสภา อย่างน้อยก็ในสภาพผู้แทนราษฎรก็อาจจะขวางนโยบายสุดโต่งของทรัมป์ได้
เมื่อพิจารณาจากนโยบายของทั้งสองพรรคในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่มีฝ่ายไหนที่ยกประเด็นโจมตีตัวบุคคล ทั้งๆ ที่เดโมแครตมีโอกาสที่จะโจมตีทรัมป์เพื่อกวาดคะแนน โดยเดโมแครตชูนโยบายปกป้องมาตรการประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือโอบามาแคร์ ซึ่งเป็นนโยบายที่ทรัมป์ขู่ที่จะยกเลิก
ส่วนพรรครีพับลิกันชูนโยบายลดภาษีและการสร้างงาน ซึ่งช่วยเหลือภาคธุรกิจและสร้างงานให้กับประชาชนทั่วไป เมื่อเทียบหมัดต่อหมัดแล้ว ประชาชนที่มีรายได้น้อยอาจจะพอใจกับนโยบายของเดโมแครตมากกว่า ส่วนภาคธุรกิจซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลสูง อาจจะพอใจกับนโยบายลดภาษีของทรัมป์มากกว่า
อย่างไรก็ตาม สื่อหลักๆ เช่น The New York Times และ The Washington Post ชี้ว่า รีพับลิกันและทรัมป์พยายามปลุกเร้าให้เกิดความกลัวในหมู่ชาวอเมริกัน เรื่องผู้อพยพและเชื้อชาติ โดยระบุว่า ผู้อพยพเป็นตัวการของปัญหาอาชญากรรม ซึ่งเป็นการต่อยอดจากนโยบายหาเสียงของทรัมป์เมื่อ 2 ปีก่อน ที่อ้างว่าผู้อพยพเข้ามาแย่งงานคนอเมริกัน
แต่การโจมตีของสื่อหลักในประเด็นนี้ อาจถูกหักล้างจากตัวเลขเศรษฐกิจ เพราะทรัมป์และรีพับลิกันสามารถอ้างได้ว่า 2 ปีที่ผ่านมา สหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น อัตราว่างงานลดลง แม้ว่าจะมีสื่อหลักและฝ่ายเดโมแครตโจมตีว่า ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้สะท้อนความจริงทางเศรษฐกิจ แต่ทรัมป์และรีพับลิกันอาจนำตัวเลขนี้ไปประโคมสร้างวาทกรรมทางการเมือง จนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเข้าใจว่าผลงานของรัฐบาลนี้ดีกว่า