วานนี้ ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ของจีน ทำพิธีเปิดสะพานฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า หรือสะพานกั่งจูเอ้าต้าเฉียว สะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลก
ที่เมืองจูไห่ในมณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่ โดยมี แครี่ แลม ผู้ว่าการฮ่องกง และเจ้าหน้าที่จากมาเก๊าเข้าร่วมงาน ก่อนจะเปิดให้ใช้งานอย่างเป็นทางการวันนี้ ซึ่งปรากฎว่าบรรยากาศเงียบเหงาเกินคาด คาดว่าเพราะระเบียบที่ยุ่งยากในการใช้สะพานข้ามดินแดนทั้ง 3 และการเก็บค่าผ่านทางที่ค่อนข้างแพง แม้แต่ผู้โดยสารรถบัสก็ยังเสียค่าเดินทางที่แพงเอาการ
สะพานแห่งนี้เริ่มลงมือก่อสร้างตั้งแต่ปี 2009 ด้วยงบประมาณ 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 656,000 ล้านบาท ระยะทาง 55 กม. แล้วเสร็จเมื่อ 17 พ.ย. 2017 เชื่อมระหว่างเกาะลันเตาของฮ่องกงกับเมืองจูไห่ของจีน ไปยังมาเก๊าซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของชาวจีน แผ่นดินใหญ่ โดยส่วนหนึ่งของสะพานระยะทาง 6.7 กม.สร้างเป็นอุโมงค์ใต้น้ำที่อยู่ระหว่างเกาะเทียมพื้นที่ราว 100,000 ตร.กม.สองเกาะ เพื่อไม่ให้รบกวนเส้นทางเดินเรือในสามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำจูเจียง
สะพานขึงเคเบิลสามเสานี้ถูกออกแบบให้ทนต่อแรงปะทะแรงๆ เช่น แผ่นดินไหวความรุนแรง 8 แมกนิจูด ซูเปอร์ไต้ฝุ่น การชนของเรือสินค้าลำใหญ่ ด้วยการใช้เหล็กถึง 400,000 ตัน ซึ่งมากกว่าสะพานโกลเดนเกตในซานฟรานซิสโกของสหรัฐถึง 4.5 เท่า ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางจากเมืองจูไห่ไปยังฮ่องกงเหลือเพียง 30 นาที จากเดิมที่ต้องใช้เวลาถึง 4 ชม.
สะพานฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า หรือ Greater Bay Area ซึ่งมีทั้งหมด 11 เมือง อาทิ ฮ่องกง มาเก๊า กว่างโจว เซินเจิ้น จูไห่ ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 56,500 ตร.กม. และนับเป็นเขตที่มีจีดีพีสูงเป็นอันดับต้นๆ ของจีน โดยรัฐบาลจีนคาดว่าสะพานแห่งนี้จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 10 ล้านล้านหยวน
อย่างไรก็ดี ใช่ว่ารถยนต์ทุกคันจะสามารถแล่นข้ามสะพานแห่งนี้ได้ รถยนต์ส่วนตัวจากฮ่องกงจะต้องได้รับใบอนุญาตจากทางการจีนซึ่งมีเกณฑ์พิจารณาเข้มงวด เช่น รับราชการในจีนแผ่นดินใหญ่ บริจาคเงินให้องค์กรการกุศลในมณฑลกวางตุ้ง และตามจำนวนโควตา ส่วนที่ไม่ได้รับใบอนุญาตต้องจอดรถไว้ที่ท่าเรือฮ่องกง แล้วนั่งรถรับส่งซึ่งจะให้บริการตลอด 24 ชม. สนนราคาเที่ยวละ 8-10 เหรียญสหรัฐ หรือ 262-328 บาท ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาในแต่ละวัน
เดิมทีสะพานแห่งนี้มีกำหนดเปิดใช้งานตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว แต่ประสบปัญหามากมายจนต้องเลื่อนออกไป ทั้งการก่อสร้างล่าช้า งบประมาณบานปลาย รวมทั้งประเด็นเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากนับตั้งแต่ลงมือก่อสร้างก็มีคนงานเสียชีวิตทั้งหมด 18 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 200 ราย จนสื่อบางรายขนานนามให้เป็นสะพานแห่งความตาย อีกทั้งยังมีแผ่นคอนกรีตที่อยู่รอบๆ เกาะเทียมหลุดลอยออกไปจนหลายฝ่ายห่วงเรื่องความปลอดภัย
นอกจากนี้ สะพานเมกะโปรเจกต์ของจีนยังเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ชาวฮ่องกงส่วนใหญ่มองว่าจีนจะใช้โอกาสนี้ควบคุมฮ่องกงอย่างใกล้ชิดขึ้น ด้านนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกังวลว่าการก่อสร้างสะพานเหนือแม่น้ำจูเจียงจะยิ่งทำให้โลมาขาวซึ่งใกล้สูญพันธุ์และอาศัยในบริเวณดังกล่าวลดจำนวนลงไปอีก