กสศ.ดึง11เครือข่าย เดินหน้าโรงเรียนพัฒนาตนเอง หวังยกระดับคุณภาพการศึกษาให้เด็กด้อยโอกาส
ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ประธานอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เปิดเผยว่า กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้จัดประชุมปฏิบัติการการสนับสนุนการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 23-24 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อสร้างความเข้าใจกรอบการดำเนินงานโครงการพัฒนาครูและโรงเรียนฯ รุ่นที่1และรุ่นที่ 2 จำนวน 11 เครือข่าย ได้แก่ ม.ศรีปทุม ม.ขอนแก่น ม.สงขลานครินทร์ มูลนิธิลำปลายมาศ มูลนิธิโรงเรียนสตาร์ฟิชคันทรีโฮม ม.ลัยนเรศวร มรภ.กาญจนบุรี มรภ.ภูเก็ต มูลนิธิรัฐบุรุษพลเอกเปรม มูลนิธิสยามกัมมาจล และสพป.1สุรินทร์ โดยมีโรงเรียนขนาดกลางเข้าร่วมพัฒนาตนเองทั้งสิ้น733 แห่ง
ศ.นพ.วิจารณ์ กล่าวว่า โครงการพัฒนาครูและโรงเรียนฯ เรียกชื่อย่อว่า “โรงเรียนพัฒนาตนเอง” หัวใจของโครงการนี้ คือการยกระดับคุณภาพการศึกษา ให้กับกลุ่มเด็กด้อยโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ช่วยเหลือเด็กที่มาจากครอบครัวด้อยโอกาส และสร้างศักดิ์ศรีครู ให้กับครูที่มีวิญญาณทำเพื่อศิษย์ เพราะครูที่มีวิญญาณนักเรียนรับรู้ได้ ซึ่งโรงเรียนจะพัฒนาครูและผู้บริหารด้วยกระบวนการ Q-PLC โดยการจะปฏิรูปการศึกษาให้สำเร็จ ต้องพัฒนาจากฐาน ทั้งนี้ ฐานในการพัฒนาสิ่งสำคัญต้องปฏิรูปการเรียนรู้ ถ่ายทอดและสร้างให้นักเรียนมีจริตเรื่องการแบ่งปันช่วยเหลือคนอื่นจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ในชั้นเรียน ซึ่งโรงเรียนใช้เทคโนโลยีช่วยลดภาระตรงนี้ได้
“การประชุมใน 2 วันนี้ เพื่อการเตรียมการดำเนินงานโครงการในรุ่นที่ 2 โดยการนำทีมโค้ชทั้ง 2 รุ่น มาทำงานร่วมกัน จากการทำงานมา 1 ปี เกิดการเรียนรู้สูงมากมีกำลังใจที่เชื่อได้ว่าการศึกษาไทย จะไม่สิ้นหวัง สามารถที่จะเดินหน้าพัฒนาต่อไปได้ โดยตัวขับเคลื่อนคือโรงเรียน ซึ่งมีครูเป็นตัวตั้ง ดังนั้น เมื่อเกิดการทำงานร่วมกันทั้งโครงการรุ่นที่ 1 และรุ่นที่ 2 จะเกิดการเรียนรู้ข้ามเครือข่ายทั้งวิธีบริหารจัดการ เทคนิคที่ดีที่ทำให้โรงเรียนใช้แล้วสนุก ฉะนั้น จุดแข็งที่เป็นความงดงามเรื่องหนึ่งคือโค้ชมีความแตกต่างหลากหลายทั้งวิธีการคิดและเป้าหมาย จึงหวังว่า โรงเรียน 733 แห่ง ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดกลาง 10% ที่ดูแลเด็กค่อนข้างด้อยโอกาสจะเปลี่ยนโฉมการศึกษาของเด็ก เพื่อนำไปสู่การพัฒนาทั้ง 100% โดยร่วมกันหารูปแบบการเรียนที่ทำให้เด็กครบเครื่อง เป็นพลเมืองที่มีพลัง มีความสามารถของประเทศไทย ซึ่งท้ายที่สุดแล้วหัวใจของการพัฒนาอยู่ที่โรงเรียน ครู และผู้บริหาร” ศ.นพ.วิจารณ์ กล่าว