MONEY

โดย กองบรรณาธิการ M2F

24 สิงหาคม 2563 : 12:07 น.

อดีตรมว.พลังงานเป็นห่วงสถานะการคลังของประเทศระบุมีปัญหายิ่งกว่าถังแตกเป็นผลมาจาการบริหารงานด้านเศรษฐกิจผิดพลาด แล้วยังจะมาซื้อเรือดำน้ำ ทำไมทีมเศรษฐกิจใหม่ไม่คัดค้าน

เมื่อวันที่ 24 ส.ค.นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า การส่งออกในเดือนก.ค.มีแนวโน้มที่จะติดลบหนัก จะทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 น่าจะยังคงติดลบหนักอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ที่ติดลบหนักถึง 12.2% ซึ่งเป็นผลให้รัฐบาลไม่สามารถเก็บภาษีได้ตามเป้า จึงต้องกู้เงินเพิ่มขึ้นอีก เลยเป็นสาเหตุที่มีข่าวบอกว่ารัฐบาลถังแตก ซึ่งก็จริงเพราะรายได้ไม่พอกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นมาก แม้รัฐบาลจะพยายามจะปฏิเสธว่าไม่ได้ถังแตก แต่ความจริงคือ สถาวะที่เป็นอยู่นี้จะหนักยิ่งกว่าถังแตกเสียอีก โดยอาจจะถึงขั้นล้มละลายเลย เพราะปัจจุบันรัฐบาลทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นถึง 8.21 ล้านล้านบาท หรือ คิดเป็น 51.64% ของจีดีพี และรัฐบาลจะต้องกู้เงินเพิ่มมากขึ้นอีกเรื่อยๆ ในขณะที่จีดีพีจะติดลบ

ทั้งนี้ เปรียบเหมือนครอบครัวที่ต้องกู้หนี้ยืมสินเพิ่มขึ่้นเรื่อยๆ แต่รายได้กลับลดลงก็คงจะรอวันล้มละลาย โดยรัฐบาลจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มสูงเกิน 60% ของจีดีพี ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงสุดที่ประเทศกำลังพัฒนาไม่ควรมีหนี้เกิน เพราะจะทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ โดยเฉพาะที่ประเทศไทยมีสัดส่วนการเก็บภาษีได้เพียง 16-17% ของจีดีพีเท่านั้น การมีหนี้ชนเพดานจะทำให้ประเทศไทยไม่สามารถกู้เงินเพิ่มเพื่อมาพัฒนาประเทศ หรือ ช่วยเหลือประชาชนได้อีก เพราะจะเสี่ยงต่อสถานะการเงินการคลังของประเทศ ดังนั้นปัญหาที่เป็นอยู่จะหนักกว่าการถังแตกมาก โดยหมายถึงอนาคตที่ประเทศจะมีหนี้สาธารณะเกินกำหนด แต่จีดีพีกลับไม่เพิ่มและยังติดลบหนักอีก จากความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลมาตลอดหลายปีนี้ และรัฐบาลในอนาคตจะไม่สามารถกู้เงินมาฟื้นเศรษฐกิจได้เพราะหนี้เต็มวงเงินแล้ว

นายพิชัย กล่าวว่า ในภาวะเช่นนี้ รัฐบาลจะต้องใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างระมัดระวังเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและต้องจ่ายแล้วจีดีพีจะต้องเพิ่ม ความสุขของประชาชนจะต้องเพิ่ม ไม่จ่ายสะเปะสะปะแบบไม่มีทิศทางเหมือนที่ผ่านมาที่ถึงขนาดต้องเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจยกชุด แต่ถึงกระนั้น ล่าสุด สส. ฝั่งรัฐบาลยังกล้าโหวตที่จะอนุมัติซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ จำนวนเงิน 22,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองและไม่มีเหตุผล ในภาวะเศรษฐกิจที่ประชาชนลำบากกันอย่างมากนี้ รัฐบาลทำเหมือนไม่สนใจและไม่แคร์ต่อความรู้สึกของประชาชนเลย ทั้งๆที่สังคมเพิ่งจะตำหนิการซื้อเครื่องบินสำหรับวีไอพีของกองทัพจำนวนเงิน 1,348.5 ล้านบาท กระแสต่อต้านการซื้อเรือดำน้ำนี้จึงมีอย่างมาก เพราะจะเป็นการใช้เงินอย่างไม่เกิดประโยชน์ รัฐบาลน่าจะนำเงินดังกล่าวมาฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือช่วยประชาชนที่กำลังลำบากมากกว่า

อย่างไรก็ตาม การโหวตอนุมัติการซื้อเรือดำน้ำของ ส.ส. ฝั่งรัฐบาลครั้งนี้ นอกจากจะแสดงความไม่ฉลาดของรัฐบาลที่ทำให้ประชาชนไม่พอใจกันอย่างมากแล้ว ยังเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของทีมเศรษฐกิจที่ปรับเปลี่ยนใหม่ของรัฐบาลอย่างหมดสิ้นตั้งแต่เพิ่งจะเริ่มทำงาน เพราะประชาชนต้องสงสัยว่าเหตุใดทีมเศรษฐกิจใหม่ เช่น นายสุพัฒนพงษ์ และ นายปรีดี จึงไม่คัดค้านเรื่องดังกล่าว ถ้าจะอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องก็ยิ่งหมดความน่าเชื่อถือไปกันใหญ่ เพราะถ้าทีมเศรษฐกิจใหม่ไม่สามารถจะคัดค้านการใช้เงินอย่างสูญเปล่าได้ ทีมเศรษฐกิจก็ไม่มีทางที่จะฟื้นเศรษฐกิจที่เป็นปัญหาที่ยากลำบากกว่านี้ได้ และควรจะลาออกไปตั้งแต่ตอนนี้เลย เพราะอยู่ต่อไปเศรษฐกิจก็จะยิ่งแย่กว่านี้ การที่ทีมเศรษฐกิจใหม่ขายฝันว่าจะทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่ม 1 ล้านคน ซึ่งก็ไม่รู้จะสร้างงานมาจากไหน และถ้ายังหยุดการใช้เงิน 22,500 ล้านบาทแบบมั่วๆนี้ไม่ได้ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำอะไรได้ และประชาชนจะไม่ให้ความสนใจและหมดความมั่นใจกับทีมเศรษฐกิจใหม่นี้ทันทีเลย ซึ่งทุกวันนี้พูดอะไรก็ไม่มีใครฟังกันอยู่แล้ว จนแทบไม่รู้เลยว่าทีมเศรษฐกิจใหม่มีทิศทางอย่างไร

"พูดถึงการซื้ออาวุธ ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT 200 ที่ต่อมากลายเป็นการหลอกลวงและคนที่ออกมาอธิบายแก้ตัวให้กองทัพว่าใช้งานได้ดีคือ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อดีตโฆษกรัฐบาล และ เป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน คนเดียวกับที่เคยเสนอผังล้มเจ้าใส่ร้ายคนจำนวนมาก และต่อมาออกมายอมรับเองว่าผังล้มเจ้าไม่มีจริง โดยหลังจากที่เป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์แล้ว ถูกรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ฟ้องร้องและมีหลักฐานชัดเจนในการสั่งลูกน้องในกรมประชาสัมพันธ์ นำข้อมูลที่เป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยใช้เครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์เป็นเครื่องมือในการใส่ร้ายพรรคคู่แข่งของรัฐบาลในช่วงเลือกตั้ง อีกทั้งรองอธิบดีฯ ยังร้องเรียนโดยมีหลักฐานการทุจริตการก่อสร้างด้วย ซึ่งคดียังไม่ได้คืบหน้าเลยทั้งที่มีหลักฐานชัดเจน และล่าสุดกรมประชาสัมพันธ์ยังปล่อย 2 คลิป เรื่อง แม่ และ เรื่อง ธงชาติ ออกมาสร้างความแตกแยกและใส่ร้ายนักศึกษาและผู้เห็นต่าง จนถูกต่อต้านอย่างมากจนต้องลบคลิปไป และ พลโทสรรเสริญออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง ทั้งที่มีการใช้โครงข่ายของกรมประชาสัมพันธ์ ดังนั้นด้วยความผิดซ้ำซ้อนในหลายเรื่องของพลโทสรรเสริญ พลเอกประยุทธ์น่าจะต้องพิจารณาปลดพลโทสรรเสริญออกจากตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์แล้ว มิเช่นนั้นพลเอกประยุทธ์จะต้องรับผิดชอบในการกระทำของพลโทสรรเสริญทั้งหมดไว้เอง"นายพิชัยกล่าว

ข่าวเด่น

ข่าวที่น่าสนใจ