ขสมก.เล็งล้มประมูลระบบเก็บค่าโดยสาร 1,600 ล้าน หลังบอร์ดห่วงหากยกเลิกสัญญาเฉพาะกล่องหยอดเหรียญอาจขัดทีโออาร์
นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานคณะกรรมการบริหารกิจการ (บอร์ด) ขสมก. เปิดเผยว่า โครงการติดตั้งกล่องหยอดเหรียญ (Cash Box) รวมถึงเครื่องอ่านบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ (E-Ticket) รถเมล์ 2,600 คัน วงเงิน 1,600 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องไปรวบรวมข้อมูลเพื่อนำกลับมาเสนออีกครั้ง โดยมีหลายแนวทางทั้งการยกเลิกสัญญาเฉพาะกล่องหยอดเหรียญ หรือการยกเลิกสัญญาทั้งหมดแล้วเปิดประมูลใหม่
“แต่ละแนวทางมีข้อดีข้อเสียต่างกัน เช่น การยกเลิกสัญญาทั้งหมดทำให้เสียเวลา แต่ทุกวันนี้มีเทคโนโลยีจัดเก็บค่าโดยสารรูปแบบใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ตรงนี้ต้องมาดูกันอีกที แต่การตัดสินใจจะทำอะไรต้องเป็นไปตามระเบียบไม่ให้องค์กรเสียประโยชน์และเป็นธรรมกับทุกฝ่ายด้วย” นายณัฐชาติ กล่าว
แหล่งข่าวจาก ขสมก. ระบุว่า ที่ประชุมบอร์ดได้เสนอให้ ขสมก.ทบทวนแนวทางดำเนินโครงการดังกล่าว พร้อมแสดงความกังวลว่า จะมีปัญหาในภายหลัง หากลงนามสัญญากับเอกชน เนื่องจากการยกเลิกสัญญาติดตั้งกล่องหยอดเหรียญนั้นเป็นการบอกเลิกสัญญาเพียงครึ่งเดียว จึงอาจขัดแย้งกับเงื่อนไขขอบเขตการประกวดราคา (ทีโออาร์)
นอกจากนี้ ยังตั้งคำถามว่า หาก ขสมก.รู้ว่าตั้งแต่แรกว่ากล่องหยอดเหรียญไม่เหมาะกับบริบทของรถโดยสารสาธารณะของไทย เหตุใดจึงไม่ร่างสัญญาติดตั้งเครื่องอ่านบัตรสวัสดิการเพียงอย่างเดียว ดังนั้นจึงส่งผลให้บอร์ด ขสมก.บางส่วนเห็นตรงกันว่า ควรยกเลิกสัญญาดังกล่าวทั้งหมด เพื่อทำการเปิดประมูลโครงการใหม่ ไม่ให้มีข้อครหาจากสังคม อีกทั้งยังไม่สุ่มเสี่ยงต่อการโดนลงโทษย้อนหลัง ทั้งทางวินัยและทางอาญาในกรณีที่ตัดสินใจเดินหน้าโครงการนี้ โดยบอกเลิกสัญญาแค่ครึ่งเดียว ซึ่งที่ผ่านมา ขสมก.ได้ทำหนังสือไปยังกรมบัญชีกลางเพื่อสอบถามถึงประเด็นดังกล่าว ได้รับคำตอบว่าสามารถดำเนินการได้
นายเผด็จ ประดิษฐ์เพชร ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวว่า ขณะนี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม ได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินการตั๋วร่วมให้เป็นไปตามแผน ซึ่งมีประชุมครั้งแรกวันที่ 16 ม.ค. 2562 เพื่อให้สามารถเชื่อมบัตรตั๋วร่วมได้ในเดือน พ.ค. 2562 เพื่อให้ตั๋วเชื่อมกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ ส่วนการเชื่อมกับรถเมล์ของ ขสมก.คาดว่าไม่น่าจะทันตามแผน