ภาษาอังกฤษมีสำนวน The grass is always greener on the other side of the fence แปลเอาความก็คือ
“สนามหญ้าหน้าบ้านคนอื่นเขียวสดกว่าของตัวเอง” หมายความว่า ถึงบ้านตัวเองจะน่าอยู่ขนาดไหน คนเราก็ยังอดไม่ได้ที่จะคิดว่าบ้านคนอื่นดีกว่าของตัว มันคงเป็นความรู้สึกอิจฉาเล็กๆ บวกกับความรู้สึกไม่รู้จักพอแต่ก็ไม่ทำอะไรให้ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
อย่างเช่น ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยชะลอลงมาอยู่ในระดับ 2-3% ส่วนเพื่อนบ้านรอบๆ อยู่ในระดับ 5-6% เพียงเท่านี้ก็ทำให้คนไทยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าบ้านเรากำลังถอยหลัง โดยไม่ได้มองมุมกลับว่า ประเทศเราอยู่ในระดับปานกลางรายได้สูง อีกนิดเดียวก็เข้าขั้นประเทศรายได้สูง และอัตราการเจริญเติบโตย่อมจะช้าลงในประเทศพัฒนาแล้ว เพราะขนาดมันใหญ่โต เหมือนไดโนเสาร์ซอโรพอดที่ยิ่งตัวใหญ่ยิ่งอุ้ยอ้าย
แอปเปิลมาเปิดช็อปที่บ้านเรา เพื่อนบ้านก็บ่นว่า ทำไมไม่มาเปิดที่ประเทศพวกเขา ทั้งๆ ที่บ้านเมืองเขาน่าจะพัฒนากว่า แต่เขาไม่รู้หรอกว่าประเทศไทยพัฒนาไม่หยุดยั้ง ประชาชนมีกำลังซื้อสูง ไหนจะมีนักท่องเที่ยวที่มีพลังทางการเงินหลายล้านคนเดินทางเข้ามา เมืองไทยคือแหล่งเงินแหล่งทองดีๆ นี่เอง แต่คนไทยหลายคนบอกว่า บ้านเรากำลังจมปลัก และถอยหลัง สิ้นอนาคตเสียแล้ว แต่ขณะที่กำลังบ่นอยู่นี่ สายตามองไปสนามหญ้าข้างนอกที่ไม่ได้สวยกว่ากัน และก็ไม่ได้ทำให้สนามหญ้าบ้านตัวเองสวยขึ้นไปอีกด้วย
คิดแบบนี้ไม่ได้มองว่าสนามหญ้าบ้านอื่นสวยกว่าเท่านั้น แต่ยังมองว่าบ้านตัวเองทุเรศทุรังด้วยซ้ำ เป็นการเหมารวมที่คับแคบ เข้าทำนองใช้ปากพายเรือ เอาเท้าราน้ำ คนในชาติมีแบบนี้เยอะๆ สนามหญ้าบ้านเราเห็นทีจะวอดวายหมด
กรกิจ ดิษฐาน