“ช้างศึก” ทีมชาติไทยได้คู่ต่อสู้ที่จะต้องเจอในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเอเชียนคัพแล้ว โดยเตรียมดวลแข้งกับขุนพล “มังกร” ทีมชาติจีน ซึ่งเข้ารอบมาในฐานะทีมอันดับ 2 ของกลุ่มซี
ศึกฟุตบอลเอเชียน คัพ 2019 ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อวันที่ 16 ม.ค. เป็นการแข่งขันนัดสุดท้าย กลุ่มซี โดยไฮไลท์เป็นการเจอกันของ 2 ทีมยักษ์ใหญ่ คือทีมชาติจีน ลงสนามปะทะทีมชาติเกาหลีใต้ ผลปรากฏว่า ทัพนักเตะโสมขาวเป็นฝ่ายคว้าชัย 2-0 จากประตูของ ฮวางอุยโจ ซัดจุดโทษนาทีที่ 14 และ คิมมินแจ ขึ้นโขกลูกเตะมุมตุงตาข่ายในนาทีที่ 51
จากผลดังกล่าว ส่งผลให้เกาหลีใต้ครองแชมป์กลุ่มซี ด้วยผลงานชนะ 3 นัดรวด เก็บ 9 คะแนนเต็ม ตามด้วยจีนมี 6 แต้ม เข้ารอบเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม และจะเข้าไปเจอกับทีมชาติไทย ทีมอันดับ 2 ของกลุ่มเอ ในรอบน็อกเอาท์ 16 ทีมสุดท้าย โดยมีกำหนดลงดวลแข้งกันที่สนาม ฮัสซา บิน ซายิด สเตเดียม ในวันอาทิตย์ที่ 20 ม.ค. เวลา 21.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ถ่ายทอดสดทางช่อง 7 HD
สำหรับทีมชาติจีนชุดนี้ อยู่ภายใต้การคุมทัพของ มาร์เซโล ลิปปี้ กุนซือชื่อดังชาวอิตาเลียน ซึ่งเคยพาทีมชาติอิตาลีคว้าแชมป์โลก เมื่อปี 2006 ขณะที่ขุมกำลังตัวหลัก นำโดยคู่หัวหอกสุดอันตรายคือ กั๊วหลิน ดาวยิงประสบการณ์สูงจากสโมสรกว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ และ หวู่เล่ย กองหน้าจากเซี่ยงไฮ้ เอสไอพีจี เจ้าของตำแหน่งดาวซัลโวศึกไชนีส ซูเปอร์ลีก ฤดูกาลที่ผ่านมา ส่วนผลงานการเจอกันครั้งล่าสุด ทีมชาติไทยพ่ายจีน 0-2 ในเกมอุ่นเครื่องที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อเดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว
มาร์เซโล ลิปปี้
ขณะเดียวกัน สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้ออกมาอธิบายถึงระเบียบการแข่งขันศึกเอเชียน คัพ ที่เพิ่มเติมขึ้นมาในรอบน็อคเอาท์ โดยระบุว่าสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (เอเอฟซี) อนุญาตให้มีการเปลี่ยนตัวสำรองคนที่ 4 ได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ นอกจากนี้ ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นต้นไป จะมีการนำระบบวิดีโอช่วยตัดสิน หรือ VAR (Video Assistant Referee) มาใช้ในการแข่งขันทุกคู่ และศึกเอเชียนคัพครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1968 ที่จะไม่มีแมทช์นัดชิงอันดับ 3