ตอนนี้สื่อตะวันตกพยายามประโคมว่าจีนควบคุมตัวชาวมุสลิมถึง 1 ล้านคน โดยอ้างว่าเป็นผู้ก่อการร้ายและเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ก่อการร้ายปั่นหัวคนในพื้นที่
โดยเฉพาะมุสลิมชาวอุยกูร์ ในเขตปกครองตนเองซินเจียง เรื่องนี้ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลจีน
แต่เอกอัครราชทูตจีนประจำอินโดนีเซีย เขียนบทความไว้ในหนังสือพิมพ์ Jakarta Post โพสต์ว่า กรณีดังกล่าวเป็นการนำชาวมุสลิมมา “สัมมนา” ที่ค่ายสัมมนา หรือ Re-education camps ซึ่งคำคำนี้เป็นศัพท์เฉพาะของประเทศคอมมิวนิสต์ ในการเกณฑ์ประชาชนที่มีแนวโน้มต่อต้านรัฐบาล มาให้ความรู้ใหม่ ท่านทูตบอกว่า การนำมุสลิมมาสัมมนาก็เพื่อทำลายกระบวนการสร้างความสุดโต่งทางศาสนา ซึ่งน่าเสียดายที่ประเทศตะวันตกเข้าใจเรื่องนี้ผิดไป
ทราบกันดีว่าซินเจียงเป็นพื้นที่เปราะบาง มีความเคลื่อนไหวของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ดังนั้น การที่จีนอ้างว่าตั้งค่ายสัมมนาเพื่อกำจัดความสุดโต่งทางศาสนา ก็อาจจะเกี่ยวกับการกำราบกลุ่มแบ่งแยกดินแดนไปด้วยในเวลาเดียว ดังนั้น เราจึงต้องแยกการปราบกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ออกจากกลุ่มสุดโต่งทางศาสนา และยิ่งต้องแยกออกจากการเป็นมุสลิม
ต้องทำความเข้าใจว่า จีนเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ที่ไม่เชิดชูศาสนาสักศาสนาเดียว ทั้งยังมีทัศนะต่อต้านด้วย แต่รัฐธรรมนูญให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาโดยเสรี จีนอดทนต่อความเชื่อของประชาชนในระดับหนึ่ง แต่ไม่อดทนต่อการแบ่งแยกดินแดน และหวงดินแดนเสียยิ่งกว่าอะไร ดูจากกรณีทะเลจีนใต้ก็น่าจะชัดเจนอยู่ ดังนั้น ตราบเท่าที่ชาวพุทธ มุสลิม คริสเตียน ฯลฯ ภักดีต่อชาติ พวกเขาจะมีสิทธิ์ในการประกอบศาสนกิจต่อไป
แต่เมื่อไรก็ตาม ที่กระด้างกระเดื่องพวกเขาจะถูกปราบทันที ไม่เฉพาะแต่มุสลิมเท่านั้น คริสเตียนก็ถูกกวาดล้าง หากผูกมัดตัวเองกับค่านิยม ตะวันตกมากเกินไป เช่นเดียวกับลัทธิสายพุทธ-เต๋า อย่างพวกฝ่าหลุนกง ซึ่งโดนหนักกว่าเพื่อน ฐานเป็นภัยจากการปลุกระดมมวลชน
จีนมีจุดแข็งรอบด้าน โลกตะวันตกพยายามเจาะขาอ่อนจีน และคงเห็นว่าประเด็นนี้เป็นจุดอ่อนของจีน เช่นเดียวกับที่พวกเขากำลังประสบอยู่ จึงจ้วงแทงกันไม่หยุดในประเด็นดังกล่าว