ในขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตจากการประท้วงเมียนมาทะลุ 500 คนทำให้เกิดความกังวลจากหลายฝ่ายว่าสถานการณ์อาจลุกลามจนเกิดสงครามกลางเมืองในเมียนมา
บลูมเบิร์กรายงานว่า ลี มอร์เกนเบสเซอร์ นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Griffith ของออสเตรเลียซึ่งทำการวิจัยเกี่ยวกับการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าวว่า "มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าประชาชนจำนวนมากจะลุกฮือและจะเกิดสงครามกลางเมืองหรือสงครามระหว่างรัฐเนื่องจากมีกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์หลายกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลเมียนมา ทั้งยังมีแนวโน้มว่าวิกฤตจะลุกลามข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ"
ขณะที่นานาประเทศทั้งจากอเมริกาเหนือ, ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก ร่วมกันประณามการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่เมียนมาต่อประชาชนที่ไม่มีอาวุธ
รวมถึงจ้าว ลี่เจียน โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีนออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติสถานการณ์ความรุนแรงที่กำลังบานปลายแต่ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับโอกาสในการเกิดสงครามกลางเมือง
ทั้งนี้ มีรายงานว่ากองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์เมียนมาเปิดฉากปะทะกับกองทัพเมียนมามาแล้วหลายครั้ง อาทิ กองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และกองกำลังติดอาวุธในรัฐคะฉิ่น
โดยเมื่อวันที่ 29 มี.ค. ที่ผ่านมาสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) เผยว่าชาวกะเหรี่ยงกว่า 10,000 คนต้องหลบหนีจากพื้นที่หลังกองทัพเมียนมาโจมตีทางอากาศและทิ้งระเบิดลงฐานที่มั่นของกองกำลังติดอาวุธ KNU ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 คน
นอกจากนี้คณะกรรมการผู้แทนสมัชชาแห่งสหภาพเมียนมา (CRPH) ได้เห็นพ้องร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์และกำลังทำงานร่วมกันเพื่อร่างรัฐธรรมนูญและจัดตั้ง "รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ" ในเดือนเมษายน
Photo by Handout / FACEBOOK / AFP