การขุดบิตคอยน์ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าปริมาณมหาศาลทะลุร้อยเทระวัตต์-ชั่วโมงต่อปี
เว็บไซต์เดอะการ์เดียนรายงานว่าการขุดบิตคอยน์เป็นกระบวนการที่ต้องใช้พลังงานอย่างมาก ขณะที่มูลค่าของบิตคอยน์ล่าสุดสูงถึง 50,000 เหรียญสหรัฐแต่นั่นก็แลกมากกับการสูญเสียพลังงานจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยพลังงานไฟฟ้าถูกใช้ไปประมาณ 121.36 เทระวัตต์-ชั่วโมง (TWh) ต่อปีสำหรับการขุดบิตคอยน์
โดยดัชนีการใช้ไฟฟ้าของบิตคอยน์ที่จัดทำโดยมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (The Cambridge Bitcoin Electricity Consumption Index : CBECI) เผยว่าพลังงานที่ใช้ในการขุดบิตคอยน์เทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในประเทศอาร์เจนตินาต่อ 1 ปี
ทั้งนี้ การขุดบิตคอยน์คือการนำคอมพิวเตอร์เข้ารหัสไปในระบบบิตคอยน์เพื่อแข่งการประมวลผลและทำรายการให้เร็วที่สุด โดยผู้ชนะจะได้รับบิตคอยน์เป็นค่าตอบแทน ซึ่งมีจำนวนจำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญโดยขณะนี้มีการขุดไปแล้วกว่า 18.5 ล้านเหรียญ ซึ่งคอมพิมเตอร์ทั่วไปมีกำลังไม่พอที่จะขุดต่อไปได้อีกแล้วแต่ต้องใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์พิเศษที่มีความสามารถในการประมวลผลขั้นสูงและแน่นอนว่าคอมพิวเตอร์เหล่านั้นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมากในการทำงาน
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมายังมีรายงานว่าเมืองเตหะราน ประเทศอิหร่านเกิดเหตุไฟฟ้าดับเนื่องจากการใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาลในการขุดบิตคอยน์ โดยในอิหร่านมีเหมืองบิตคอยน์ขนาดใหญ่ทั้งหมด 14 แห่ง แต่ละแห่งใช้ไฟฟ้าถึง 300-450 เมกะวัตต์ หรือครอบคลุมปริมาณไฟฟ้าที่เพียงพอต่อประชากรถึง 1 แสนคน
เบนจามิน โจนส์ ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโกซึ่งได้ทำการวิจัยผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของบิตคอยน์กล่าวว่าปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ในการขุดบิตคอยน์มากกว่าปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ในประเทศบางประเทศอย่างเช่นไอร์แลนด์
เช่นเดียวกับเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐซึ่งกล่าวว่าบิตคอยน์เป็นการทำธุรกรรมที่ไร้ประสิทธิภาพอย่างยิ่งเนื่องจากต้องใช้พลังงานมหาศาลในการประมวลผล
ไทเลอร์ วิงเคลวอสส์ นักลงทุนชาวอเมริกันทวีตว่า "คอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนปล่อยคาร์บอนมากกว่าเครื่องพิมพ์ดีดและโทรเลข บางครั้งเทคโนโลยีก็มีความสำคัญต่อมนุษยชาติมากจนสังคมต้องยอมแลก"
ขณะที่ ผู้สร้างเอธิเรียมซึ่งถือเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสองรองจากบิตคอยน์ได้ให้คำมั่นว่าจะเปลี่ยนอัลกอริทึมของสกุลเงินเพื่อให้การขุดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
AFP PHOTO / JACK GUEZ