กระทรวงการต่างประเทศของสหราชอาณาจักรประเมินการรัฐประหารในเมียนมาถึงจุดที่หวนกลับไม่ได้แล้ว
วันนี้ (8 ก.พ.) กลุ่มผู้ประท้วงชาวเมียนมาราว 500 คนในจังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ได้รวมตัวกันประท้วงต่อต้านรัฐประหาร พร้อมเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักการเมืองและนักเคลื่อนไหวทุกคนที่ถูกจับกุม ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าสลายการชุมนุมด้วยการยิงปืนขึ้นฟ้าและลงพื้น พร้อมจับกุมตัวผู้ชุมนุมไปได้ 14 คน ส่งผลให้กลุ่มผู้ชุมนุมลุกฮือขึ้นกว่าเดิม ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจยอมปล่อยตัวผู้ชุมนุมทั้ง 14 คนเพื่อลดความตึงเครียดแล้ว
ด้านกระทรวงการต่างประเทศของสหราชอาณาจักรประเมินว่าการทำรัฐประหารในเมียนมาได้ผ่านจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับได้แล้ว และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้ประชาธิปไตยในเมียนมาถูกจำกัด พร้อมเตือนว่าสถานการณ์อาจเลวร้ายลงไปกว่าเดิม
นอกจากนี้ตามการประเมินที่เปิดเผยต่อสำนักข่าวบลูมเบิร์กยังระบุว่าพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) มีแนวโน้มที่จะแตกหักหลังผู้นำอย่างออง ซาน ซูจี และอดีตประธานาธิบดีวิน มินต์ ถูกจับกุม นอกจากนี้ยังมองว่าการประท้วงที่เกิดขึ้นมีแนวโน้มจะกลายเป็นประท้วงนองเลือดเนื่องจากมีประชาชนเข้าร่วมหลายหมื่นคนทั่วประเทศและเป็นการประท้วงที่ใหญ่ที่สุดในรอบกว่าสิบปี
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานักการทูตอาวุโสของอังกฤษก็ได้สรุปว่าการรัฐประหารในเมียนมาไม่สามารถย้อนกลับได้แล้ว และพลเอก อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเมียนมาพยายามจะบดขยี้พรรค NLD ของซูจี เพื่อตั้งตัวเองเป็นประธานาธิบดี
โดยตามการประเมินระบุว่ารัฐบาลทหารเมียนมาพยายามสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน และสร้างคะแนนนิยมก่อนการเลือกตั้งครั้งใหม่จะมาถึงซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในอีก 1 ปีข้างหน้า
ทังนี้ ประเทศต่างๆ รวมทั้งสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลียได้ประณามการรัฐประหารที่เกิดขึ้นหลังจากซูจีได้ชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งผู้สังเกตการณ์จากภายนอกส่วนใหญ่มองว่าผลการเลือกตั้งเป็นไปอย่างเสรีและเป็นธรรม
บางประเทศกระตุ้นให้ใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อเมียนมา อย่างไรก็ตามมุมมองจากนักการทูตอังกฤษชี้ให้เห็นว่าการแทรกแซงจากภายนอกในเมียนมานอกเหนือจากมาตรการคว่ำบาตรนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
ทางกระทรวงประเมินว่ารัฐบาลเมียนมาอาจหันไปหาจีนซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด ขณะที่จีนก็ได้ลงนามในแถลงการณ์ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติโดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการ "สนับสนุนอย่างต่อเนื่องของการเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตย" ในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังระบุอีกว่าจีนเป็นเพื่อนบ้านพันธมิตรกีบเมียนมา
ในแถลงการณ์กระทรวงการต่างประเทศและเครือจักรภพยังได้กล่าวประณามการรัฐประหารพร้อมเรียกร้องให้กองทัพเคารพหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชน
"เราต้องเห็นการประชุมสมัชชาแห่งชาติอย่างสันติ และเคารพต่อผลการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤศจิกายนรวมถึงความปรารถนาของประชาชนชาวเมียนมา" กระทรวงการต่างประเทศกล่าว
ด้านรัฐบาลสหราชอาณาจักรปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นต่อการประเมินดังกล่าว
ทั้งนี้ บลูมเบิร์กยังรายงานว่าความตึงเครียดภายในเมียนมาเพิ่มขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์โดยมีผู้ประท้วงหลายหมื่นคนบนท้องถนนในย่างกุ้งและอีกหลายเมือง เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวซูจีและคนอื่นๆ ที่ถูกจับกุม ส่งผลให่เกิดการชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การประท้วงต่อต้านรัฐบาลโดยพระสงฆ์ในปี 2007