.
พระกุมารชีวะ หรือกุมารชีพ เป็นนักแปลพุทธศาสนปกรณ์ผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์จีน ผู้แปลพระสูตรครั้งใหญ่ในสมัยยุคห้าชนเผ่าสิบหกแคว้น หรือยุคราชวงศ์จิ้นตะวันตก (ค.ศ. 304 –439) ประวัติของท่านป็นที่แพร่หลายกันโดยทั่วไป ในที่นี้ จะเน้นการนำเสนอเรื่องราวที่เหลือเชื่อเกี่ยวกับท่านกุมารชีพเป็นหลัก ดังนี้
เมื่อครั้งที่มารดาของท่านตั้งครรภ์รู้สึกปัญญาเฉียบแหลมขึ้นมาก ต่อมาท่านมารดาเดินทางไปมหาอารามในเมืองชาคีร์เพื่อสดับพระธรรมเทศนา ทันใดนั้นท่านเกิดความรู้ความเข้าใจภาษาของชาวชมพูทวีปในบัดดล พระอรหันต์ธรรมโฆษได้ยินเรื่อง จึงกล่าวว่า มารดาท่านคงกำลังตั้งครครภ์บุตรผู้มีปัญญาเฉียบแหลม แล้วเทศนานิมิตประเสริฐต่างๆ ที่มารดาของพระสารีบุตรประสบขณะตั้งครรภ์ท่าน โดยเหตุนี้ พระกุมารชีพจึงได้สมญญานามว่า พระสารีบุตรองค์ที่สอง
เมื่อครั้งท่านกุมารชีพมีอายุเพียง 7 ปีก็เริ่มตามเสด็จพระมารดาใช้ชีวิตบนเส้นทางการศึกษาพุทธธรรมอย่างยากลำเค็ญ สองแม่ลูกเข้าพำนักในวัดแห่งหนึ่ง กุมารชีพได้คารวะท่านพุทธสิงหะแห่งนิกายหินยานผู้มีชื่อเสียง เริ่มต้นศึกษาอภิธรรมสูตร
ท่านอาจารย์พุทธสิงหะเห็นกุมารชีพมีหน้าตาเฉลียวฉลาดก็สอนบทสวดสิบบทก่อน ทันทีที่ท่านอาจารย์สอนจบกุมารชีพก็ท่องออกมารวดเดียวจบ ความทรงจำที่ดีเลิศอัศจรรย์ของกุมารชีพ ทำให้อาจารย์พุทธสิงหะตกตะลึงนิ่งไป (ส่วนนี้คัดมาจาก "พระธรรมโฆษาจารย์กุมารชีพ")
นับจากนั้น กุมารชีพก็ท่องอ่านบทสวดทุกวัน วันละพันบท แต่ละบทมีอักษร 32 ตัว พันบทก็เท่ากับ 32,000 ตัวอักษร ท่านไม่เพียงมีความทรงจำดีเลิศอย่างน่าตกใจ ยังมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงเหตุผลที่อาจารย์ได้อธิบายเป็นอย่างดี แม้คัมภีร์บางบทยากจะเข้าใจ ท่านก็ยังพอเข้าใจได้บ้าง
เพียง 1 ปี บทสวดที่กุมารชีพท่องได้ทั้งหมดมี 3 แสนบท คัมภีร์อีก 10 เล่ม มีผู้เคยคำนวณว่าเฉพาะพุทธธรรมที่กุมารชีพได้ศึกษาครั้งเยาว์วัย ที่มีความเข้าใจอย่างละเอียดและสามารถท่องขึ้นใจได้นั้นมีอยู่ประมาณ 4 ล้านตัวอักษร (ส่วนนี้คัดมาจาก "พระธรรมโฆษาจารย์กุมารชีพ")
เมื่อครั้งท่านยังเป็นสามเณรพำนักอยู่ที่อารามแห่งหนึ่งในเมืองคัชการ์ วันหนึ่งท่านเห็นกระถางธูปยักษ์ (บ้างก็ว่าบาตรยักษ์) คิดเล่นซุกซนแบบเด็กๆ จึงนำมาวางไว้บนศีรษะ แต่แล้วก็เกิดนึกขึ้นมาได้ว่า "เราเป็นเพียงกุมารน้อยไฉนจะยกของใหญ่โตเช่นนี้วางบนศีรษะได้เล่า?"
ในพลันที่คิดได้ดังนั้น กระถางธูปก็ล้มลงกับพื้นอย่างน่าอัศจรรย์ และในขณะจิตเดียวกันนั้น ท่านบังเกิดรู้ความแจ้งว่า สรรพสิ่งทั้งปวงล้วนเกิดมาแต่จิตตัวเดียว นับแต่นั้นท่านมุมานะศึกษาพระอภิธรรมนานถึง 2 ปี โดยปราศจากข้อกังขา ทั้งยังศึกษาพระเวทของพาหิระลัทธิ และแพทย์ศาสตร์ มายาศาสตร์
ครั้งหนึ่งระหว่างศึกษาอยู่ ณ วัดซินซื่อ เมืองคัชการ์ ท่านพบปัญจวิมศติสาหะริกาปรัชญาปารมิตาสูตรเก็บรักษาไว้ในวังเก่าข้างวัด จึงนำออกมาศึกษา แต่มารบันดาลให้พระสูตรไร้อักษร ท่านทราบว่าเป็นการกระทำของมาร จึงตั้งอธิษฐานมุ่งมั่นศึกษาพระธรรมยิ่งๆ ขึ้น มารจึงหลีกไป อักษรในพระสูตรปรากฎขึ้นอีกครา
ในช่วงวัยหนุ่ม ท่านเผชิญกับเหตุสุดวิสัย ถูกบีบบังคับให้ต้องวิวาห์กับองค์หญิงจั่งแห่งแคว้นกุฉา หากไม่ยินยอมชาวเมืองจะถูกประหารชีวิต ท่านเล็งเห็นวิบากของสรรพสัตว์ และเพื่อประโยชน์ในการรักษาชีวิตเพื่อเผยแผ่พระธรรม ท่านจึงต้องยินยอมสละพรหมจรรย์
ในกาลต่อมา ศิษย์ของท่านเกิดความกังขาว่าเหตุใดอาจารย์จึงไม่รักษาพรหมจรรย์ ท่านจึงเล่าเหตุผลให้ประจักษ์ แต่ยังมีบางพวกบางกลุ่มยังกังขา ท่านเห็นดังนั้นจึงคิดปราบอกุศลจิต แสดงอิทธิฤทธิ์ด้วยการสั่งให้ศิษย์นำเข็มมาจำนวนหนึ่ง พร้อมด้วยน้ำเปล่าและน้ำส้มสายชู จากนั้นทำการกลืนเข็มหนึ่งชามพร้อมดื่มน้ำตามลงด้วย แล้วท่านดึงเข็มทีละเล่มออกจากผิวหนังจนครบถ้วน เมื่อครบแล้วบอกกับศิษย์ว่า ผู้ใดคิดจะกระทำจะมีครอบครัว ต้องทำให้ได้อย่างท่านเสียก่อนจึงจะอนุญาต
ก่อนที่ท่านจะมรณภาพนั้น ได้ประกาศสัจจาธิษฐานว่า งานแปลพระสูตรของท่านมิได้มีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย หลังปลงร่างสังขารแล้ว ล้นของท่านจะไม่ไหม้ไฟเป็นสัจจะพยานในความถูกต้องเที่ยงตรง ซึ่งปรากฎว่าหลังจากท่านมรณะภาพและมีการปลงร่างสังขารแล้ว ทุกส่วนของท่านแปรเป็นอัฐิธาตุทั้งสิ้น
ยกเว้นแต่ลิ้นของท่านยังคงสดอยู่เปลวเพลิงมิอาจทำอันตรายได้เลย จึงมีการแยกสรีระธาตุของท่านไปประดิษฐาน ณ สถูปทรงประทีปแบบจีนแห่งหนึ่ง ส่วนลิ้นนำไปประดิษฐาน ณ พระเจดีย์ทรงจีนอีกแห่งหนึ่ง ณ วัดเฉ่าถังซื่อ นครซีอาน (ฉางอาน)
เผยแพร่ครั้งแรกในเพจคลังพุทธศาสนา เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2559