รำลึก 81 ปีการสังหารหมู่ชาวจีนในเมืองนานกิง
วันที่ 13 ธันวาคม 2018 ครบรอบ 81 ปี การสังหารหมู่ที่นานกิง
การสังหารหมู่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ก่อนที่กองทัพญี่ปุ่นจะบุกเข้าหนานจิง (นานกิง) เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 1937 หลังจากนั้นทหารญี่ปุ่นได้ลงมือเข่นฆ่า ข่มขืน และทารุณชาวจีนต่อไปจนถึงเดือนมกราคมในปีถัดมา
ยอดผู้เสียชีวิตขั้นต่ำยังไม่แน่ชัด แต่ยอดประเมินอย่างมากตรงกัน อยู่ที่ราว 300,000 คน
ระหว่างที่เกิดกรณีสังหหารหมู่นานกิง มีเหตุการซ้อนอีกเหตุการณ์คือ "การแข่งตัดคอคนให้ถึง 100 หัว" (百人斬り競争) เป็นการแข่งขันระหว่างร้อยตรีมูไค โทชิอะกิ (向井敏明) กับร้อยตรีโนดะ ซึโยชิ (野田毅) ทั้งคู่แข่งกันว่าใครจะสามารถใช้ดาบญี่ปุ่นตัดศีรษะคนจีนได้ถึง 100 คนก่อนกัน ระหว่างการยาตราทัพรุกนานกิง มีสื่อญี่ปุ่นรายงานอย่างใกล้ชิดเกือบทุกระยะ จนกระทั่งได้ความว่ามูไคตัดไปได้ 106 หัว ส่วนโนดะได้ไป 105 หัว กรณีนี้มักถูกยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างความโหดเหี้ยมของกองทัพญี่ปุ่นที่กระทำต่อชาวจีนอย่างป่าเถื่อน
ภาพโนดะ คนซ้าย และมูไค คนขวา จาก http://www.mukai-noda.com/h1.html
หลังจากสิ้นสงคราม กองบัญชาการกลางของสหรัฐในญี่ปุ่น (GHQ) ได้ทราบเรื่องนี้ และควบคุมตัวนายทหารทั้ง 2 ไว้จากนั้นส่งตัวไปให้ทางการจีน ศาลอาชญากรสงคราม ตัดสินว่าทั้งคู่ก่ออาชญกรรมจริง ฐานสังหารพลเรือนและนักโทษสงคราม ให้ประหารชีวิตเสียที่นานกิง
ปัญหาก็คือ หลังสงครามมีการถกเถียงอย่างหนักว่าการการแข่งตัดคอคนให้ถึง 100 หัวเกิดขึ้นจริงหรือไม่ นอกจากจะโต้เถียงในวงวิชาการแล้ว ญาติของนายทหารทั้ง 2 ยังฟ้องร้องนักประวัติศาสตร์และสื่อที่เปิดเผยเรื่องดังกล่าวว่าปั้นเรื่อง แต่ปรากฎว่าศาลกรุงโตเกียวไม่รับฟ้อง เพราะหลักฐานระบุชัดว่าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจริง ซึ่งในข้อมูลฝ่ายญี่ปุ่นยกหลักฐานมางัดค้านดุเดือดมาก แต่ผมจะเล่าเฉพาะหลักฐานที่บ่งชี้ว่าการแข่งกันตัดคอเกิดขึ้นจริง
การตัดศีรษะชาวจีนโดยทหารญี่ปุ่น
เรื่องแรกคือสื่อในญี่ปุ่นรายงานเรื่องนี้มีหลักฐานชัดเจน และผู้ที่เล่าให้สื่อฟังคือก็คือโนดะกับมูไค โดยเฉพาะโนดะถึงกับบอกกับหนังสือพิมพ์โตเกียวนินิชิมบุน (วันที่ 19 เดือนกันยายนปีโชวะที่ 14) ว่า พยายามจะฆ่าให้ถึง 500 หัว แต่ตอนนี้ตัดไปได้แค่ 305 หัว ก่อนหน้านั้นโนดะยังกลับบ้านเกิดที่คะโงะชิมะ โพนทะนากับคนที่นั่นว่ามีการแข่งตัดหัวให้ได้ 100 หัว (รายงานในคะโงะชิมะชิมบุนวันที่ 21 และ 26 เดือนมีนาคม ปีโชวะที่ 13) ตัวเขาตัดไปได้ 300 กว่าหัวแล้ว ซึ่งทั้งโนดะและมูไคเป็นคนบ้านเดียวกัน และเดินสายบรรยายวีรเวรวีรกรรมของเขาหลายครั้ง ถึงกับมีผู้แต่งเพลงสรรเสริญ
มูไคบอกกับหนังสือพิมพ์ The Japan Advertiser ว่า "สนุก" กับเรื่องที่ทำลงไป แต่เสียที่ดาบบิ่นเพราะต้องตัดมันทุกแบบ ส่วนโนดะบอกว่า ทหารจีนโง่ เรียกมาตัดหัวก็เดินเข้าแถวกันมา
ทหารญี่ปุ่นฝังชาวจีนทั้งเป็น
ข้างต้นนี้ เป็นหลักฐานฝ่ายหนังสือพิมพ์ในยุคร่วมสมัย นอกจากนี้ ยังมีพยานในเหตุการณ์คือ ไซโต ชินจู (佐藤振壽) ช่างภาพข่าวสงครามที่มีชื่อเสียง เล่าว่าได้ยินจากนายทหารทั้ง 2 คนว่าเกิดเรื่องเหี้ยมโหดที่ว่านั้นจริง และที่ต้องย้ำคือทั้งโนดะและมูไคเป็นคนเล่าให้ทั้งสื่อและคนทั่วไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง หลักฐานนี้นี่เองที่ศาลตัดสินว่า "การแข่งตัดคอคนให้ถึง 100 หัว" ไม่ใช่เรื่องที่ถูกปั้นแต่งขึ้น
แต่ก่อนที่จะถูกประหารที่นานกิง มูไคกับโนดะยืนยันด้วยแถลงการณ์ 2 ฉบับว่าไม่ได้เป็นคนลงมือสังหารพลเรือนและนักโทษสงคราม และจะไม่ยอมรับคำตัดสินว่าเขาเป็นอาชญากรสงคราม
ไม่ว่าพวกเขาจะกล่าวยืนยันอย่างไร ก็คงแก้ต่างอะไรไม่ได้อีก คงมีแต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์เท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสิน
ข้อมูลอ้างอิงเกือบทั้งหมดนำมาจาก 百人斬り競争 ใน ja.wikipedia.org ซึ่งมีหลักฐานอ้างอิงเชื่อถือได้