เพราะไม่มีอะไรใหม่ใต้ดวงตะวันดวงนี้

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในสหรัฐ ค้นพบว่า บรรพบุรุษของเราในศตวรรษที่ 17 มีนิสัยเสพติดและแชร์ข้อมูลสั้นๆ เหมือนกับที่ลูกหลานในศตวรรษนี้กำลังติดเฟซบุ๊กกับทวิตเตอร์ และโซเชียลมีเดียรูปแบบอื่นๆ กันอย่างงอมแงม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงปารีส ซึ่งเป็นเสมือนเมืองหลวงแห่ง "เทรนด์" ในยุคนั้น

รสนิยมในการเสพติดข้อมูลที่ฉับไวและรวดเร็วเริ่มรุนแรงขึ้นหลังการประดิษฐ์แท่นพิมพ์และหนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์ข่าวสั้นๆ นักวิจัยพบจดหมายนับหมื่นฉบับตกค้างอยู่ในสถานที่ให้บริการไปรษณีย์ของเอกชน แต่ละฉบับมีข้อความแทบไม่ต่างอะไรกับข้อความที่เราโพสต์บนหน้าเว็บเพจโซเชียลมีเดีย มิหนำซ้ำยังมีเมลขยะที่ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย แต่เราก็ยังสั่งให้ระบบรับไว้

พูดง่ายๆ ก็คือ การปล่อยให้ข้อมูลล้นทะลักเข้ามาในระบบไปรษณีย์โบราณโดยที่เจ้าของไม่ได้รับจดหมายเหล่านี้ เป็นระบบอัพเดตข้อมูลเหมือนทุกวันนี้นี่เอง และมีจุดประสงค์ที่ไม่ต่างกันนัก นั่นคือ ข้อมูลที่เข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อนทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่เชื่อมโยงกับผู้คนในภูมิภาคอื่นๆ

ที่เหมือนไปยิ่งกว่านั้น ใครที่อยากส่งข้อความแต่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ตัวตนที่แท้จริง ก็แค่เขียนข้อความที่อยากจะระบายลงบนกระดาษชิ้นเล็กที่เรียกว่า "billets" แล้วโปรยลงบนท้องถนน แล้วจะมีคนพบและเขียนแจกจ่ายหรือแชร์ต่อไป ส่วนใหญ่ก็มักไม่พ้นความไม่พอใจทางการเมือง และเรื่องที่สามารถทำให้วงสนทนาร้อนเป็นไฟได้ อาจเรียกได้ว่า "billets" บรรพบุรุษของการทวีตนั่นเองจากนี้ ถ้าใครคิดว่ายุคของเราเป็นจุดเริ่มต้นของนวัตกรรมทุกสิ่งอย่างแล้วละก็ เห็นทีคงต้องคิดใหม่

เพราะโลกของเราเหมือนอย่างคำพูดของคนโบราณที่ว่าไว้"ไม่มีอะไรแปลกใหม่ภายใต้ตะวันดวงเดิม"