ศบค.เผยเปิดประเทศพบติดเชื้อโควิด-19 แล้ว 6 รายเป็นนักท่องเที่ยว ทั้งแบบไม่กักตัวและแบบกักกัก ห่วง เปิดเทอม เด็กอาจนำเชื้อกลับบ้านแพร่คนในครอบครัว กำชับ จัดงานบุญกฐิน ลอยกระทง ยึดมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
เมื่อวันที่ 3 พ.ย. พญ.สุมนี วัชรสินธุ์ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค ในฐานะผู้ช่วยรองโฆษก ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ประจำวัน ตอนหนึ่งว่า สำหรับผู้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 2 พ.ย. มีจำนวน 2,013 ราย เข้าระบบไม่กักตัว 1,769 ราย เข้าระบบแซนด์บ๊อกซ์ 79 ราย และเข้าระบบกักกัน 165 ราย แบ่งเป็นเข้าระบบกักกัน 7 วัน 64 ราย และเข้าระบบกักกัน 14 วัน 101 ราย รวมผู้เดินทางเข้ามาตั้งแต่วันที่ 1-2 พ.ย. รวมทั้งสิ้น 4,510 ราย และ 5 อันดับผู้เดินทางเข้าประเทศสูงสุด ได้แก่ 1.ญี่ปุ่น 2.สิงคโปร์ 3.เยอรมนี 4.กาตาร์ 5.จีน โดยมีการตรวจคัดกรองด้วย RT-PCR และพบผู้ติดเชื้อในระบบไม่กักตัว 3 ราย และพบผู้ติดเชื้อจากประเภทที่ต้องกักกันอีก 3 ราย
นอกจากนี้ ศบค.ได้ติดตามการควบคุมโรคโควิด-19 ในสถานศึกษา ภายหลังเปิดภาคเรียนอย่างใกล้ชิด โดยเน้นย้ำมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพราะเป็นห่วงว่า เด็กอาจนำเชื้อไปแพร่สู่คนในครอบครัว โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และขอให้ผู้ปกครองหมั่นสังเกตอาการบุตรหลาน หากพบว่ามีอาการเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ให้รีบตรวจคัดกรอง ATK ทันที ส่วนกรณีนักเรียนอายุ 12 ปี ได้รับวัคซีนไฟเซอร์เข็มแรก แล้วมีอาการทรุดหนักนั้น เบื้องต้นพบว่าอาการไม่ได้เกิดจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และอาการเริ่มดีขึ้นแล้ว พร้อมยืนยันว่า วัคซีนที่นำมาฉีดในประเทศไทย มีความปลอดภัย ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก
พร้อมย้ำถึงการจัดงานทอดกฐินและเทศกาลลอยกระทงในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ว่า การจัดกิจกรรมต่างๆในช่วงนี้เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และเพื่อให้ประชาชนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติภายใต้วิถีชีวิตใหม่ ดังนั้น ไม่ว่าจัดงานประเพณีใดๆ ขอให้จัดงานตามความเหมาะสม ภายใต้มาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด