ผู้นำฝ่ายค้านแถลงญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ จัดหนัก"ประยุทธ์" ไร้ภูมิปัญญาไร้ความสามารถในการเป็นผู้นำประเทศ บริหารล้มเหลว ทำคนไทยเจอวิกฤตโควิด
เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 64 นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้แถลงญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลของพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 16 ส.ค.64 โดยมีรัฐมนตรีที่จะถูกยื่นอภิปรายครั้งนี้รวม 6 คน
ทั้งนี้ ประกอบด้วย 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม 2.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข 3.นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน 4.นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม 5.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ และ 6.นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
สำหรับ เหตุผลที่พรรคร่วมฝ่ายค้านใช้การยื่นญัตติครั้งนี้คือ ความล้มเหลวของรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดินเกี่ยวกับการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19, การบริหารเศรษฐกิจที่ล้มเหลว และพฤติกรรมการทุจริต
โดยญัตติระบุถึงพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยสรุปดังนี้
-พล.อ.ประยุทธ์ เป็นบุคคลที่ไร้ภูมิปัญญา ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ ไร้คุณธรรมจริยธรรม และไร้ความสามารถที่จะเป็นผู้นำประเทศ บริหารราชการแผ่นดินเกิดความล้มเหลว โดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองต้องประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 63 ได้รวมศูนย์อำนาจ รวบอำนาจตามกฎหมายต่างๆ ถึง 40 ฉบับ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและไม่สุจริต ส่งผลให้การกลายพันธุ์ของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในระยะเพียง 4 เดือนเศษ มีผู้ติดเชื้อเกือบ 900,000 คน และเสียชีวิตกว่า 7,000 คน
ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตรายวันก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนสถานพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์มีไม่เพียงพอที่จะรับรักษาผู้ป่วย ระบบสาธารณสุขไทยล้มเหลว เกินขีดความสามารถในการบริการประชาชน หากปล่อยให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไปจะทำให้ประชาชนติดเชื้อและเสียชีวิตมากยิ่งขึ้นจนไม่สามารถหาสถานที่ฌาปนกิจได้ทันและเพียงพอ ไม่มีหนทางที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้
-นายอนุทิน ขาดองค์ความรู้ ไร้ภูมิปัญญาและความสามารถในการกำกับดูแลงานด้านสาธารณสุขของประเทศ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หลอกลวงประชาชน ขาดสติปัญญา ประเมินความรุนแรงและผลกระทบของโรคนี้ผิดพลาดอย่างร้ายแรง
โดยเห็นว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดาเป็นและหายได้เอง ประเมินว่าเป็นโรคกระจอก จึงปล่อยปละละเลยในการเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุขและมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโดยเฉพาะวัคซีน จนทำให้การแพร่ระบาดของโรคเป็นไปอย่างรวดเร็ว หากปล่อยให้ดำรงตำแหน่งต่อไปจะทำให้การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นและไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงเมื่อใด ผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจะมีเพิ่มมากขึ้น
-นายสุชาติ เป็นบุคคลที่ไร้ภูมิปัญญาและไร้ความรู้ความสามารถที่จะบริหารราชการของกระทรวงแรงงาน ทำให้ผู้ใช้แรงงานได้รับผลกระทบทั้งระบบ ปล่อยปละละเลยให้แรงงานต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายปะปนอยู่ในระบบแรงงาน และเกิดการแสวงหาประโยชน์จากแรงงานผิดกฎหมายดังกล่าว จนเป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ
-นายศักดิ์สยาม มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมโรค เข้าไปในแหล่งอบายมุขจนเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปทั่วประเทศจนถึงปัจจุบัน ขาดจิตสำนึกรับผิดชอบ มุ่งแต่แสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของตน
-นายเฉลิมชัย มีส่วนได้เสียในการเรียกรับผลประโยชน์จากโครงการของหน่วยงานที่กำกับดูแล ไม่ปกป้องรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จงใจเบียดบังเอาทรัพยากรของชาติไปให้พวกพ้อง ปล่อยปละละเลยให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคในสัตว์ทั้งวัวและสุกร จนส่งผลเสียหายแก่เกษตรกรจำนวนมาก ขณะที่มาตรการชดเชยเยียวยาแก่เกษตรกรไม่ทั่วถึงและเพียงพอ ทำให้การบริหารงานด้านการเกษตรล้มเหลวทั้งระบบ
-นายชัยวุฒิ มีพฤติการณ์จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ใช้ตำแหน่งหน้าที่และสื่อของรัฐเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงและสร้างความแตกแยกในสังคม ทำลายบรรทัดฐานอันดีของสังคม มุ่งประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
ทั้งนี้ การอภิปรายครั้งนี้กำหนดมีขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 31 ส.ค.-3 ก.ย.คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 40 ชั่วโมง ก่อนจะลงมติในวันที่ 4 ก.ย.