พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระราชทานเครื่องมือและครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ให้แก่โรงพยาบาลแม่ข่ายและเรือนจำ
เมื่อวันที่ 28 เมษายน เวลา 18.02 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออกพร้อมด้วยเจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา องค์ประธานกรรมการ พร้อมคณะกรรมการโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ นำ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานเครื่องมือและครุภัณฑ์ทางการแพทย์ และทอดพระเนตรนิทรรศการเปิดโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ระยะที่ 2 ผลการดำเนินงานโครงการราชทัณฑ์ปันสุขฯ เครื่องมือและครุภัณฑ์ทางการแพทย์พระราชทาน ระยะที่ 2
โอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา กราบบังคมทูลรายงานการเริ่มดำเนินโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ระยะที่ 2
จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานเครื่องมือและครุภัณฑ์ทางการแพทย์สำหรับใช้ในโรงพยาบาลแม่ข่าย และนายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานเครื่องมือและครุภัณฑ์ทางการแพทย์สำหรับใช้ในเรือนจำ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการจัดซื้อเครื่องมือและครุภัณฑ์ทางการแพทย์ จำนวน 118,547,200 บาท แบ่งเป็นสำหรับโรงพยาบาลแม่ข่าย จำนวน 102,691,400 บาท และสำหรับเรือนจำ จำนวน 15,855,800 บาท ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพในการให้บริการด้านสาธารณสุขแก่ประชาชนทั่วไปและผู้ต้องขังในเขตพื้นที่อำเภอนั้นๆ
เสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับผู้บัญชาการเรือนจำ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแม่ข่าย พยาบาลประจำเรือนจำ และอาสาสมัครสาธารณสุขเรือนจำของเรือนจำอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เรือนจำอำเภอเบตง จังหวัดยะลา เรือนจำอำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ และเรือนจำอำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นเรือนจำ 4 แห่ง จากทั้งหมด 19 แห่งของเรือนจำเป้าหมายในการดำเนินงานระยะที่ 2 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์
ต่อจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา และเจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี ไปทอดพระเนตรนิทรรศการเปิดโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ระยะที่ 2 ผลการดำเนินงานโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ฯ เครื่องมือและครุภัณฑ์ทางการแพทย์พระราชทาน ระยะที่ 2
ทั้งนี้ การดำเนินงานโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ระยะที่ 1 สามารถช่วยเหลือผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศ 143 แห่ง ให้มีสุขภาพโดยรวมดีขึ้นอย่างชัดเจน ส่วนโครงการ ฯ ระยะที่ 2 จะดำเนินการในเรือนจำอำเภอ จำนวน 19 แห่ง ซึ่งเป็นเรือนจำขนาดเล็ก อยู่ห่างไกล ติดชายแดน เรือนจำบางแห่งมีอายุการใช้งานมานาน โดยนอกจากจะเน้นการดำเนินงานเช่นเดิมตามระยะที่ 1 แล้ว ยังเพิ่มในมิติของการบริหารจัดการโรคติดต่อ โดยเฉพาะการกักโรค การส่งเสริมเรื่องสุขาภิบาลเรือนจำ และอนามัยสิ่งแวดล้อม การบำบัดน้ำเสีย การกำจัดขยะ และโภชนาการ ซึ่งระหว่างการดำเนินงานระยะที่ 1 ได้พบปัญหาดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานพระราชดำริให้ดำเนินการเพิ่มเติมระยะที่ 2 ซึ่งเรือนจำทั่วประเทศ 143 แห่ง จะน้อมนำไปดำเนินการ โดยแนวพระราชดำริดังกล่าวยังสอดรับกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ของประเทศไทยในปัจจุบัน รวมทั้งการที่พบว่า ผู้ต้องขังเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs จำนวนมาก ดังนั้น โภชนาการจึงเป็นสิ่งสำคัญที่กระทรวงสาธารณสุขจะเข้ามาดำเนินการในโครงการ “เรือนจำอาหารปลอดภัยต้นแบบ” ต่อไป
ทั้งนี้ นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศไทย ซึ่งได้สร้างความเดือดร้อนทุกข์ยากในการดำเนินชีวิตและประกอบสัมมาชีพแก่ประชาชนเป็นจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้ทรงติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาด และการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อควบคุมและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศไทย และได้พระราชทานพระบรมราโชบายในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมทั้งพระราชทานเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงจัดสร้างรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ และรถเอกซเรย์ระบบดิจิทัล เพื่อใช้ปฏิบัติงานเชิงรุกในภาคสนามในการตรวจเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แก่ประชาชนในพื้นที่เป้าหมายมาโดยตลอด
โครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ นับเป็นโครงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ได้พระราชทานความช่วยเหลือ ทั้งแก่ผู้ต้องขังและประชาชนทั่วไป ให้สามารถเข้าถึงบริการทางสาธารณสุข โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดโครงการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2562 และพระราชทานพระราชดำริว่า ผู้ต้องขังส่วนใหญ่ประสบปัญหาด้านสุขภาพ เนื่องจากขาดแคลนเครื่องมือและครุภัณฑ์ทางการแพทย์ จึงได้พระราชทานแนวพระราชดำริการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ซึ่งการดำเนินงานของโครงการฯ เป็นไปตามหลักมนุษยธรรมและสอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานราชทัณฑ์ ข้อกำหนดแมนเดลา และข้อกำหนดกรุงเทพ ฯ ที่เป็นข้อกำหนดของสหประชาชาติ
การดำเนินงานโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ระยะที่ 1 ได้เริ่มดำเนินการในทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ และเรือนจำกลาง หรือทัณฑสถานซึ่งเป็นเรือนจำขนาดใหญ่รวม 25 แห่ง โดยได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สำหรับจัดซื้อเครื่องมือและครุภัณฑ์ทางการแพทย์ จำนวน 190,072,863 บาท การดำเนินงานที่ผ่านมาได้ผลเป็นอย่างดี ส่งผลให้เรือนจำทั่วประเทศ ที่เหลือ 118 แห่ง ดำเนินการตามแนวทางของโครงการ ฯ ในทุกมิติ และสำหรับโรงพยาบาลแม่ข่าย สังกัดกระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลทหาร ตำรวจ รวมทั้งจิตอาสาพระราชทานต่างเข้ามาสนับสนุนการตรวจรักษาในเรือนจำอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดผลในเชิงคุณภาพที่ชัดเจน คือ อัตราการเกิดโรคทางเดินหายใจและโรคผิวหนังลดลง อัตราการนำผู้ต้องขังไปรักษายังโรงพยาบาลภายนอกลดลง รวมทั้งในปีที่ผ่านมาที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้เรือนจำทั่วประเทศ สามารถจัดให้มีห้องแรกรับ และห้องแยกโรคอย่างถาวร สำหรับรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่กลับมาแพร่ระบาดอยู่ในปัจจุบันนี้
การดำเนินงานโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทั้งระยะที่ 1 และระยะที่ 2 จึงสะท้อนถึงน้ำพระราชหฤทัย และพระเมตตาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ที่ทรงห่วงใยประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า โดยทรงรับเป็นพระราชภารกิจสำคัญในการให้ความช่วยเหลือพสกนิกรให้ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี และสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึง จึงนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้