กรมควบคุมโรคยืนยันไม่ห้ามประชาชนเดินทางไปจังหวัดต่างๆ แจงสถานการณ์ติดเชื้อในประเทศมีน้อยและควบคุมได้ ขอความร่วมมือแจ้งฝ่ายมั่นคงหากพบคนมาจากท่าขี้เหล็ก
เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 63 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาการอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวระหว่างการแถลงสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยว่า ในปัจจุบัน ผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศและอยู่ในสถานกักกัน ส่วนที่มีการติดเชื้อภายในประเทศถือว่าน้อยมาก อย่างกรณีมีผู้ติดเชื้อจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ส่วนใหญ่ลักลอบไปทำงานที่ท่าขี้เหล็กและลักลอบเข้ามาที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย จากนั้นจะเดินทางท่องเที่ยวและกลับบ้านที่ จ.เชียงใหม่ พิจิตร ราชบุรี กทม. เป็นต้น และมีอาการป่วย
นพ.โอภาส กล่าวว่า เมื่อพบแล้วเราได้ดำเนินการสอบสวนโรคว่าไปพบใครบ้าง ช่วงเวลาไหน ใครที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย พูดคุยกันเกิน 5 นาที หรืออยู่ในยานพาหนะเดียวกันเกิน 15 นาที จะถือเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง กลุ่มพวกนี้จะถูกกักตัว 14 วัน อีกส่วนคือ ใกล้ชิดผู้ป่วย แต่ไม่เข้าเกณฑ์เสี่ยงสูง จะเรียกว่าผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ จะกักตัว 14 วันเช่นกัน
"ที่ผ่านมาเรามีผู้ติดเชื้อจากท่าขี้เหล็กจำนวน 32 ราย แบ่งเป็น เชียงราย 20 ราย เชียงใหม่ 5 ราย จังหวัดอื่นๆ จังหวัดละ 1 ราย จำนวนนี้มีเพียง 2 รายเท่านั้นที่ติดเชื้อภายในประเทศคือ ที่ จ.เชียงใหม่ ที่เป็นเพื่อนกับผู้ป่วยที่มาจากท่าขี้เหล็ก กินและเที่ยวด้วยกัน เราตรวจพบได้เร็วทำให้ไม่มีการแพร่ระบาดเพิ่มเติม"
"อีกรายเป็นผู้ป่วยที่ จ.สิงห์บุรี เดินทางเที่ยวบินเดียวกับผู้ป่วยจากท่าขี้เหล็ก คาดว่าติดเชื้อกันที่สนามบิน เพราะนั่งติดกัน สวมหน้ากากอนามัยต่ำกว่าปาก โดยเราวางมาตรการให้คนไทยที่อยู่ท่าขี้เหล็กกลับมาช่องทางถูกกฎหมาย เพื่อมาอยู่สถานกักกันตัวที่ จ.เชียงราย ซึ่งในระยะหลังจะเข้ามาถูกต้องตามกฎหมาย"
นพ.โอภาส กล่าวว่า ขณะนี้ในพื้นที่ จ.เชียงราย ควบคุมสถานการณ์ได้ ถ้าจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่จะอยู่ในสถานกักกันตัว ส่วน จ.เชียงใหม่ ไม่พบผู้ติดเชื้อจากท่าขี้เหล็กมาหลายวันแล้ว หรือแม้แต่ กทม. พิจิตร พะเยา สิงห์บุรี ราชบุรี ไม่พบผู้ป่วยเพิ่มเติม จึงถือว่ากรณีท่าขี้เหล็กทุกจังหวัดควบคุมสถานการณ์ได้ดี แต่ขอเน้นย้ำประชาชนว่าการ์ดอย่าตก
"สิ่งที่อยากขอให้ประชาชนช่วยภาครัฐ เจ้าของบ้านเช่า เจ้าของบ้านพัก เจ้าของโรงแรม เจ้าของสถานประกอบการ เจ้าของสถานบันเทิง หากพบใครกลับมาจากท่าขี้เหล็กแล้วยังไม่ผ่านการกักตัว ขอให้แจ้งหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทันทีเพื่อตรวจสอบ" นพ.โอภาส กล่าว
นพ.โอภาส กล่าวว่า ส่วนกรณีที่มีข่าวทางโซเชียลมีเดียว่าห้ามไปจังหวัดต่างๆ นั้นไม่เป็นความจริง กรุณาอย่าแชร์ต่อข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง เพราะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ขอให้ติดตามข้อมูลจากส่วนราชการเท่านั้น
นพ.โอภาส กล่าวด้วยว่า ขอย้ำว่าจังหวัดต่างๆ สามารถควบคุมโรคได้ดี ปลอดภัย สามารถเดินทางไปได้ ท่องเที่ยวได้ทั้งเชียงใหม่และเชียงราย และมั่นใจว่ากรณีนี้เราควบคุมสถานการณ์ได้ และหวังว่าสถานการณ์ต่างๆ จะจบก่อนเทศกาลปีใหม่
ส่วนกรณีที่มีเอกชนบางรายออกมาตรการให้พนักงานที่ไปท่องเที่ยวเชียงใหม่และเชียงรายต้องกักตัวนั้น การติดเชื้อจะเกิดจากการสัมผัสกับผู้ที่มีเชื้อโรค ถ้าไม่ได้ไปสัมผัสกับเขาหรืออยู่ในสถานที่เวลาเดียวกันกับเขาก็ไม่มีความเสี่ยง คนที่ไปเชียงใหม่ เชียงราย สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ยังเข้า-ออกจังหวัดได้ตามปกติ ไม่มีการปิดจังหวัด ไม่มีการปิดอะไรทั้งสิ้น แต่ถ้าเอกชนที่ไหนจะให้กักตัว 14 วัน เป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ตนเห็นว่าเป็นมาตรการที่เกินความจำเป็น
ผู้สื่อข่าวถามว่า คนที่ลักลอบเข้ามาแบบผิดกฎหมาย จะต้องถูกดำเนินคดีหรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า ต้องดูตามสาระที่เขาทำ ใครทำผิดกฎหมายข้อไหน ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง โดยเฉพาะ พรก.ฉุกเฉิน ที่ผิดชัดเจนและมีโทษค่อนข้างหนัก จะมีการดำเนินการตามสาระของแต่ละคน เป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคง