ทำความเข้าใจวิธีการเลือกตั้งสหรัฐ เราจะมาสรุปขั้นตอนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสหรัฐให้เข้าใจกัน
1. ด้วยความที่ประเทศสหรัฐประกอบด้วยหลากหลายรัฐ และแต่ละรัฐมีจำนวนประชากรไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงป้องกันปัญหา "เผด็จการเสียงข้างมาก" โดยให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงเพื่อเลือก "คณะผู้เลือกตั้ง" ในแต่ละรัฐ และคณะผู้เลือกตั้งจะเข้าไปเลือกประธานาธิบดีอีกทีหนึ่ง
2. การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจึงเป็นการเลือกตั้งทางอ้อมซึ่งประกอบด้วย 2 ระบบ คือ Popular Vote และ Electoral College ดังนั้นจึงไม่ใช่การเลือกตั้งทางตรงและมีความซับซ้อนอย่างมากจนคนอเมริกันโต้เถียงกันมานานให้แก้ไขระบบ
3. Popular Vote คือการที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งใช้สิทธิของตนในการเลือกคณะผู้เลือกตั้งจากรัฐของตนเอง เพื่อให้คณะผู้เลือกตั้งไปเลือกประธานาธิบดีอีกทีหนึ่ง
4. Electoral College คือการที่คณะผู้เลือกตั้งที่ได้รับการเลือกจากประชาชนมาแล้ว ลงคะแนนเสียงเพื่อเลือกผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยในแต่ละมลรัฐจะมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้งไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรในรัฐนั้นๆ เช่น รัฐแคลิฟอร์เนียที่มีประชากรมากที่สุดมีคณะเลือกตั้ง 55 คน ส่วนรัฐเดลาแวร์มีประชากรน้อยที่สุด มีคระเลือกตั้งแค่ 3 คน
5. รวมแล้วมีคณะเลือกตั้งทั่วประเทศ 538 คณะผู้เลือกตั้งจะสัญญาเป็นมั่นหมาะว่าจะเข้าไปเลือกใคร เช่น กลุ่มนี้บอกว่าจะเลือกพรรคเดโมแครต/ไบเดน ก็ต้องเลือกตามที่สัญญาไว้ โดยผู้ที่จะชนะเลือกตั้งได้จะต้องมึคะแนนของคณะเลือกตั้งเกิน 270 เสียง
6. แม้ว่าประชาชนจะเป็นผู้ลงคะแนน Popular Vote แต่ตัวแปรที่จะตัดสินผลแพ้ชนะนั้นมาจากคณะผู้เลือกตั้งหรือ Electoral College
7. เพราะการเลือกตั้งของสหรัฐใช้ระบบ Winner-Takes-All (คนชนะได้เสียงไปทั้งหมด) หมายถึงพรรคใดก็ตามที่ชนะ Popular Vote ในรัฐใดรัฐหนึ่ง จะได้คะแนนเสียงทั้งหมดใน Electoral College ของรัฐนั้น โดยไม่มีการแบ่งคะแนนกับคู่แข่งแม้ว่าคะแนน Popular Vote จะสูสีกันแค่ไหนก็ตาม (เว้นแค่ 2 รัฐที่ไม่ได้ใช้ระบบนี้)
8. ดังนั้นหากแพ้คะแนน Popular Vote ไปเพียงคะแนนเดียวก็ทำให้เสียคะแนนจาก Electoral College ไปได้หลายสิบคะแนนเสียง ทำให้พรรคการเมืองต้องพยายามเร่งหาเสียงในรัฐที่มีคณะผู้เลือกตั้งจำนวนมาก
9. ยกตัวอย่างกรณีโดนัลด์ ทรัมป์ และฮิลลารี คลินตัน ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว คลินตัน ได้คะแนน Popular Vote ไป 65 ล้านเสียง ซึ่งมากกว่าทรัมป์ถึง 2.9 ล้านเสียง แต่ทรัมป์ได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งรวมทั้งสิ้น 304 เสียง ขณะที่คลินตันได้ไป 227 เสียง จึงทำให้ทรัมป์เป็นฝ่ายชนะ
10. นอกจากนี้ยังเคยเกิดกรณีเช่นนี้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2000 เมื่อ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช มีคะแนน Popular Vote น้อยกว่า อัล กอร์ แต่กลับชนะการเลือกตั้ง เนื่องจากได้รับเสียงส่วนใหญ่ในรัฐฟลอริดาซึ่งมีคณะผู้เลือกตั้งจำนวนมาก ส่งผลให้จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้เสียงส่วนมากจาก Electoral College 270 เสียง จากทั้งหมด 538 เสียง
11. ด้วยเหตุนี้ทำให้เป็นข้อกังขาว่าประธานาธิบดีไม่ได้มาจากคะแนนเสียงส่วนมากของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งอย่างแท้จริง และมีเสียงเรียกร้องให้ปรับปรุงระบบเลือกตั้งแบบ Electoral College แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
12. ดังนั้นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งจึงยังต้องทุ่มเทให้กับรัฐที่มีจำนวนคณะผู้เลือกตั้งมากกันต่อไป รัฐพวกนี้จึงมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด เช่น แคลิฟอร์เนีย, เท็กซัส, ฟลอริดา, นิวยอร์ค, และเพนซิลเวเนีย เป็นต้น เพราะหากแพ้ก็จะหมายความว่าเสียคะแนนเสียงไปท้งหมด แต่รัฐพวกนี้คาดเดาได้ง่ายว่าจะเลือกใคร
13. สมรภูมิที่พวกเขาจะต้องไปช่วงชิง คือรัฐที่เรียกว่า Swing State หมายถึงรัฐที่ไม่สามารถคาดเดาทิศทางของผลการเลือกตั้งได้ โดยอาจมีคะแนนสูสีกันระหว่างสองพรรคการเมือง เช่น แอริโซนา, นอร์ทแคโรไลนา, ฟลอริดา, เพนซิลเวเนีย, มิชิแกน, นิวแฮมป์เชียร์ และวิสคอนซิน เป็นต้น หากคู่แข่งได้คะแนนในรัฐใหญ่ได้ไปเท่าๆ กัน พวกเขาจะต้องมาลุ้นกันในรัฐ Swing State เหล่านี้
Photos by JIM WATSON and SAUL LOEB / AFP