ศาลสั่งจำคุก 8 ปี "น้ำอุ่น" คดีกักขังหน่วงเหนี่ยว "ลัลลาเบล" จนถึงแก่ความตาย ส่วนแก๊งปาร์ตี้บางบัวทองโดนคนละ 5 ปี 4 เดือน ให้ร่วมกันชดใช้ 7.4 แสนบาท
เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ศาลอาญาธนบุรี ถ.เอกชัย นัดอ่านคำพิพากษาคดีพริตตี้ลัลลาเบลเสียชีวิต หมายเลขดำ อ.1204/2562 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี 2 เป็นโจทก์ และมารดาของน.ส.ธิติมา หรือลัลลาเบล ผู้ตาย เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นายรัชเดช หรือน้ำอุ่น วงศ์ทะบุตร อายุ 27 ปี อาชีพพริตตี้บอย ภูมิลำเนาเอกชัย-บางบอน กทม. จำเลยที่ 1 , นายชัยพล หรือคิว พรรณนา อายุ 30 ปี ภูมิลำเนาบางบัวทอง จ.นนทบุรี เจ้าของงานปาร์ตี้บ้านบางบัวทอง จำเลยที่ 2 , นายนที หรือตี๋ สถิตพงษ์สถาพร อายุ 34 ปี ภูมิลำเนาลาดพร้าว กทม. จำเลยที่ 3 , น.ส.พิกุลทอง หรือเฟิร์ส บุญภา อายุ 25 ปี แฟนสาวของคิว ภูมิลำเนาหนองหาน จ.อุดรธานี จำเลยที่ 4 , นายกฤษฎา หรือโนบิ โลหิตดี อายุ 28 ปี ภูมิลำเนา จ.อุดรธานี จำเลยที่ 5 , นายโกเศศ หรือปิงปอง ฤทธิ์นิธิฤกษ์ อายุ 36 ปี ภูมิลำเนาบางบัวทอง จ.นนทบุรี จำเลยที่ 6
ในความผิด 4 ข้อหา ฐานเป็นซ่องโจร, พาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมหรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใดๆ ,กระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า 15 ปีโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ , หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210,213,278, 284 , 310 ประกอบมาตรา 83,91 ซึ่งมารดาผู้ตาย ได้ยื่นคำร้องขอให้จำเลยทั้งหก ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนด้วย
โดยคำฟ้องระบุพฤติการณ์ระบุว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ย.62 จำเลยทั้ง 6 สมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยรู้เห็นเป็นใจและตกลงกันเพื่อให้มีงานเลี้ยงโดยมีการดื่มสุรา (งานปาร์ตี้) ที่บ้านเลขที่ 100/199 หมู่บ้านพฤกษา3 ริมคลอง 3 หมู่5 ต.บางคูรัด อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี แล้วจ้าง น.ส.ธิติมา หรือลัลลาเบล นรพันธ์พิพัฒน์ อายุ 26 ปี ให้มาเป็นพริตตี้ชงเหล้ารร่วมเต้นรำและร่วมดื่มสุรา โดยจำเลยทั้งหกมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ น.ส.ธิติมา ดื่มสุราจนเมาและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้แล้ว นายรัชเดช จำเลยที่ 1 ได้พาพริตตี้ลัลลาเบล ซึ่งขณะนั้นมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ในเลือดสูงมากอยู่ในภาวะมึนเมา โดยใช้กำลังประทุษร้ายไปอนาจารด้วยการใช้มือลูบไล้ใบหน้า โอบกอดลำตัว บริเวณหน้าอก และอุ้มแบกออกจากบ้านหลังดังกล่าวไปขึ้นรถยนต์ของจำเลยที่ 1 แล้วพาไปที่ห้องพักคอนโดย่านดาวคะนอง แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี กทม.
แล้วจำเลยที่1 แล้วพาขึ้นไปที่ห้องพัก โดยพริตตี้ลัลลาเบลอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้เป็นเหตุให้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขัง ต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายและถึงแก่ความตาย ส่วนจำเลยที่ 2-6 ร่วมกันสนับสนุนการกระทำผิดของจำเลยที่1 โดย ร่วมกันจัดให้มีงานเลี้ยงดื่มสุรา เปิดเครื่องดนตรีจัดให้มีแสงไฟในงานปาร์ตี้ ให้มีบรรยากาศเหมือนสถานบริการขึ้นที่บ้านพักดังกล่าว ซึ่งนายชัยพล จำเลยที่2 เป็นผู้ครอบครองบ้านพัก ขณะที่จำเลยที่ 2-6 เป็นผู้เข้าร่วมงานต่างล่วงรู้ถึงเป้าหมายของการจัดงานปาร์ตี้ โดยให้พริตตี้ลัลลาเบลดื่มสุราจนเมา ไม่สามารถครองสติและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วพวกจำเลยยินยอมให้นายรัชเดชจำเลยที่1 พาพริตตี้ลัลลาเบลไปกระทำอนาจารโดยไม่ได้ขัดขวางหรือเข้าห้ามปรามอันเป็นการให้ความช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่นายรัชเดชจำเลยที่ 1 กระทำผิด ในชั้นสอบสวนทั้ง 6 คน ให้การปฏิเสธ
ซึ่งคดีนี้ชั้นพิจารณา ศาลสืบพยานโจทก์และโจทก์ร่วม รวม 30 ปาก , พยานจำเลย รวม 6 ปาก
ขณะที่วันนี้ นายรัชเดชหรือน้ำอุ่น จำเลยที่ 1 ที่ได้ประกันตัวชั้นพิจารณา 350,000 บาท และจำเลยที่ 2-6 ได้ประกันคนละ 150,000 บาท เดินทางมาฟังคำพิพากษา พร้อมทนายความ
สำหรับคำพิพากษา ศาลได้พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว ข้อเท็จจริงสรุปว่า มีพยานโจทก์เบิกความยืนยันในชั้นศาล สอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวน , ภาพจากกล้องวงจรปิด , คลิปวิดีโอจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยทั้งหก , บันทึกการสนทนาในแอปพลิเคชันไลน์ , รายงานผลการสืบสวนพฤติกรรมของบุคคล , บันทึกการชี้ตัวของพยานซึ่งได้กระทำทันทีหลังเกิดเหตุ , ผลการชันสูตรพลิกศพ และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ จึงรับฟังและน่าเชื่อได้ว่า นายรัชเดช จำเลยที่ 1 ได้กระทำอนาจารผู้ตาย โดยใช้กลอุบายหลอกล่อให้ผู้ตายดื่มสุราในปริมาณมาก เพื่อให้ผู้ตายหมดสติอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และได้พาผู้ตายซึ่งหมดสติขึ้นรถยนต์ไปที่คอนโดของจำเลยที่ 1 โดยมีเจตนาที่จะล่วงละเมิดทางเพศผู้ตาย
นอกจากนี้ พยานโจทก์ที่เป็นนายแพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพ ให้ความเห็นว่า ผู้ตายเสียชีวิตในช่วงเวลา 15.00-19.00 น. สาเหตุการตายเกิดจากภาวะการหายใจล้มเหลวอันเนื่องจากพิษของเอทิลแอลกอฮอล์ (เอทานอล) อย่างฉับพลัน โดยผู้ตายมีปริมาณเอทานอลในเลือดสูงถึง 431.76 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นปริมาณที่มากกว่าการดื่มสุราตามปกติ ทำให้เสียชีวิตได้ แต่หากมีการนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาก็สามารถที่จะช่วยชีวิตได้ ประกอบกับผู้ตายสวมใส่นาฬิกาสมาร์ทวอทช์ที่จับการทำงานของหัวใจได้ว่ามีเลือดไหลเวียนครั้งสุดท้ายในเวลา 17.10 น. เชื่อว่าผู้ตายถึงแก่ความตายในระหว่าง เวลา 17.10-19.00น. ระหว่างที่จำเลยที่ 1 พาผู้ตายขณะหมดสติไปยังห้องในคอนโดของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ย่อมเล็งเห็นได้ว่าผู้ตายอาจจะได้รับอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย
ส่วนจำเลยที่ 2-6 เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงในลักษณะนี้มาก่อน รู้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนามอมเหล้าผู้ตาย แต่ไม่ขัดขวางห้ามปราม กลับชักชวนให้ผู้ตายดื่มสุรา และยอมให้จำเลยที่ 1 พาผู้ตายซึ่งหมดสติออกไปจากงานเลี้ยง การกระทำของจำเลยที่ 2-6 ดังกล่าว ถือว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในการพาผู้ตายไปเพื่อการอนาจาร และในการที่ จำเลยที่ 1 หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายซึ่งอยู่ในสภาพหมดสติมีอาการโคม่าแต่จำเลยที่ 1 กลับไม่พาไปรักษาที่โรงพยาบาล จำเลยที่ 2-6 จึงเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 กระทำความผิด
ศาลจึงพิพากษาว่า การกระทำของนายรัชเดชหรือน้ำอุ่น จำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานกระทำอนาจาร , ฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร และฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังถึงแก่ความตาย ซึ่งความผิดทั้งสามข้อหาดังกล่าว จำเลยที่ 1 กระทำต่อเนื่องเชื่อมโยงในวาระเดียวกันโดยมีเจตนาเพื่อกระทำอนาจารและล่วงละเมิดในทางเพศผู้ตาย จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังถึงแก่ความตายซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุด ให้จำคุก 8 ปี
ส่วนจำเลยที่ 2-6 เป็นผู้สนับสนุนให้นายรัชเดชหรือน้ำอุ่น จำเลยที่ 1 กระทำความผิดดังกล่าว ให้จำคุกคนละ 5 ปี 4 เดือน และให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่มารดาผู้ตาย โจทก์ร่วม จำนวน 748,660 บาทด้วย
สำหรับความผิดฐานซ่องโจร โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่า จำเลยทั้งหกสมคบหรือตกลงจะกระทำความผิดแต่อย่างใด จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2-6 เป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 เท่านั้น จึงให้ยกฟ้องในความผิดฐานซ่องโจร และข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว จำเลยทั้งหมด ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวในชั้นอุทธรณ์