.
โดย...อาจารย์ชวินทร์ chavintapoti@gmail.com
*******************************
วันนี้มีโอกาสได้ชมพระรูปหล่อองค์หนึ่งซึ่งสร้างโดยหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน แต่มาแตกกรุที่วัดบางลายใต้ ลองสืบค้นประวัติดูว่ามีการสร้างหรือไม่ ในที่สุดจากการสืบค้นและสอบถามก็พบว่า มีการสร้างจริง ประเด็นต่อมาที่ต้องพิจารณาคือ เนื้อหาของรูปหล่อควรเป็นอย่างไร
อย่างที่เราทราบกันดีว่า พระรูปหล่อของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลานนั้นมีอายุกว่า 100 ปีนับถึงปัจจุบัน ดังนั้นกระแสของเนื้อโลหะผสมและผิวองค์พระย่อมเปลี่ยนแปลงไป ย่อมปรากฏความเก่าให้เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเทหล่อในสมัยก่อนเป็นการหล่อแบบโบราณและเป็นการเทหล่อแบบช่อ ร่องรอยต่างๆ รวมถึงความเก่าแบบธรรมชาติต้องมี
มาชมรูปหล่อทรงช้าง หลวงพ่อเงิน กรุวัดบางลายใต้กันครับ
หลักพิจารณากระแสโลหะของรูปหล่อหลวงพ่อเงิน โลหะผสมที่สร้างในยุคนั้นจะออกเหลืองอมเขียวเป็นส่วนมาก อาจเป็นเพราะส่วนผสมที่ใช้ในการหล่อ ปรากฏความเก่าทั้งคราบเบ้า คราบสนิมทองเหลืองในตัวอย่างชัดเจน จะมีความแห้งแต่สดใสในตัว
-พลิกส่องดูทั้งด้านหน้าและด้านหลังจะเห็นโลหะสีเหลืองอมเขียวที่แห้งและเก่าเสมอทั้งองค์
-คราบสนิมทองเหลือง(ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นมานาน ระหว่างอากาศ,ความชื้น,โลหะ)จะมีความแห้งเป็นธรรมชาติเสมอกันทั้งองค์ ทั้งในซอกและภายนอก
-คราบขี้เบ้าแห้งสนิทและมีความเก่า
-ความเก่าแห้งของรูพรุนตามผิว มีรอยพรุนของดินขี้วัว ซึ่งนำมาปั้นหุ่นเป็นธรรมชาติของพระหล่อ
-ในด้านข้างจะต้องมีร่องรอยประกบหุ่นเทียนให้เห็นทุกองค์
-การเทหล่อแบบช่อจะเห็นรอยตัดเดือยและรอยตะไบใต้ฐาน
มีบันทึกมากมายถึงอภินิหารหลวงพ่อเงิน ตัวอย่างที่บันทึกต่อกันมาเช่น ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อเงิน ที่ท่านได้หักกิ่งมาปักไว้ริมน้ำหน้าพระอุโบสถ วัดวังตะโก ก่อนจะปักหลวงพ่อเงินได้อธิษฐานจิตไว้ว่า หากวัดท่านจะเจริญรุ่งเรืองก็ขอให้กิ่งโพธิ์กิ่งนี้จงแตกกิ่งก้านกว้างใหญ่ไพศาลด้วยเถิด
ไม่นานจากนั้นกิ่งโพธิ์ก็ออกราก งอกงามเติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมกับความเจริญของวัดที่ท่านได้สร้างขึ้นมา และที่ใต้ต้นโพธิ์ที่แตกกิ่งงดงามนั้น หลวงพ่อเงินได้ทำแคร่ไม้เพื่อไว้พักผ่อน แต่เมื่อท่านได้มรณภาพ พระครูพิบูลธรรมเวท หรือหลวงพ่อเปรื่อง เจ้าอาวาสในห้วงปี 2505-2539 ได้ทำการสร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่ทดแทนหลังเดิม
แต่กิ่งก้านของต้นโพธิ์ได้มาบดบังทัศนียภาพหน้าพระอุโบสถ ทำให้ขาดความสวยงาม หลวงพ่อเปรื่อง เจ้าอาวาส จึงได้ว่าจ้างให้ชาวบ้านมาทำการตัดแต่งกิ่งต้นโพธิ์ แต่ไม่มีชาวบ้านคนไหนที่กล้าจะเสี่ยงกับการตัดต้นโพธิ์ของหลวงพ่อเงิน ในที่สุดหลวงพ่อเปรื่องจึงได้นำดอกไม้ ธูป เทียน มาจุดบอกกล่าวขอขมาจากหลวงพ่อเงิน เพื่อขอตัดแต่งกิ่งต้นโพธิ์เพื่อจะทำให้วัดสวยงามและขอให้หลวงพ่อหักให้ด้วย
ต่อจากนั้นมาเพียงไม่กี่วัน กิ่งต้นโพธิ์กิ่งก็หักลงมาเอง โดยไม่มีลมพายุ หรือจากภัยธรรมชาติ เมื่อกิ่งต้นโพธิ์ใหญ่หักลงมาเองโดยไม่ต้องตัดแล้ว หลวงพ่อเปรื่อง เจ้าอาวาสได้มอบหมายให้ นางจันทร์ชาวบ้านในย่านนั้นมาจัดการเลื่อยเป็นท่อนแล้วนำไปเผาเป็นถ่านแบ่งกันคนละครึ่งกับทางวัด
หลังจากเลื่อยเป็นท่อนเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาที่จะนำมาจุดไฟเผาทำเป็นถ่าน แต่ปรากฏว่าไม่ว่าจะจุดไฟด้วยเชื้อไฟแบบไหน กิ่งไม้โพธิ์นั้นก็ไม่ติดไฟ บนร่างกายตัวนางจันทร์คนเผากลับมีรอยไหม้พองไปทั้งตัวหูตาก็ดับมืดมองอะไรก็ไม่เห็น ฟังไม่รู้เรื่อง สื่อสารกับใครก็ไม่ได้
หลังจากนั้นหลวงพ่อเงินก็มาเข้าฝันนางจันทร์และดุนางจันทร์ว่า "กูให้ของดีมึงไว้ใช้ มึงกลับไม่รู้คุณค่าเอาไปเผาเสียอีก" เมื่อนางจันทร์ตกใจตื่นและทบทวนความฝันแล้ว ก็นำดอกไม้ ธูปเทียน เท่าอายุของตนเอง ไปกราบขอขมาต่อหน้ารูปหล่อของหลวงพ่อเงิน เพียงไม่กี่วันอาการของนางจันทร์ก็กลับเป็นสู่ปกติ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับนางจันทร์ เป็นบทเรียนสอนให้ชาวบ้านเห็นความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อเงิน ขนาดแค่ต้นโพธิ์ที่ปลูกโดยหลวงพ่อเงินยังมีความศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนต่างพากันนำกิ่งต้นโพธิ์ที่เหลือไปแกะเป็นองค์พระและวัตถุมงคลเพื่อบูชาจนหมดสิ้น
จากกันด้วยคาถาหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน (กล่าวนะโมฯ 3 จบ แล้วกล่าวคาถา)
นะ พุทธัง อะระหังเมตตาจิต
นะ ธัมมัง อะระหังเมตตาจิต
นะ สังฆัง อะระหังเมตตาจิต
เอหิพุทธัง ปิยังมะมะ ผู้คนไหลมานะชาลิติ
เอหิธัมมัง ปิยังมะมะ ข้าวของไหลมานะชาลิติ
เอหิสังฆัง ปิยังมะมะ เงินทองไหลมา นะชาลิติ
ฉิมพลี จะ มหาลาโภ ภะวันตุ เม