มท.1 ย้ำรัฐบาลดำเนินมาตรการป้องกันโควิด-19 เป็นขั้นตอนอย่างเป็นระบบ ประเมินสถานการณ์ทุกระยะ รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากประชาชนและทุกภาคส่วนจึงยับยั้งโควิดได้
เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ห้องประชุมพระสุริยัน อาคารรัฐสภา ถนนเกียกกาย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ได้กล่าวชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) เกี่ยวกับการดำเนินงานในการเตรียมการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ซึ่งในประเทศไทยมีการพบผู้ติดเชื้อรายแรกช่วงกลางเดือนมกราคม 2563 โดยรัฐบาลได้ดำเนินการติดตามสถานการณ์ดังกล่าว และเปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) โดยกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการคัดกรองผู้ที่เดินทางกลับจากเมืองอู่ฮั่น และปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเป็นระบบ มีการประเมินและติดตามสถานการณ์ กำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาที่เป็นลำดับขั้นตอน และในขณะเดียวกัน กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด และนายอำเภอทุกอำเภอดำเนินมาตรการต่าง ๆ ร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นโรคติดต่ออันตราย ในขณะเดียวกันพบว่า หน้ากากอนามัยในท้องตลาดมีปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการของประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จึงได้จัดฝึกอบรมการทำหน้ากากทางเลือก และคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณให้ อปท. ในการจัดทำหน้ากากทางเลือก จำนวน 50 ล้านชิ้น เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชน นอกจากนั้น ได้มีการประกาศควบคุมการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อป้องกันการรวมกลุ่มของประชาชนซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ทั้งนี้ สถานการณ์ต่อมากระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศกำหนดประเทศกลุ่มเสี่ยง และได้ออกกำหนดวิธีการในการกักตัว (Quarantine) ผู้เดินทางกลับจากประเทศที่มีการระบาดของโรคติดต่ออันตราย และกระทรวงมหาดไทยได้ออกประกาศยกเลิกฟรีวีซ่ากับประเทศต่าง ๆ ที่จะเดินทางเข้าประเทศไทยเป็นการชั่วคราว และปิดจุดผ่านแดนทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ 18 แห่งทั่วประเทศ เพื่อป้องกันการนำเชื้อโรคจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย กระทั่งได้มีการประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดภายในประเทศ
พล.อ.อนุพงษ์ เน้นย้ำว่า รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ ตามลำดับขั้นตอนอย่างเป็นระบบ และมีการประเมินสถานการณ์อย่างเหมาะสมทุกระยะ โดยพิจารณาองค์ประกอบร่วมกันกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ซึ่งมีเป้าหมายในการสกัดกั้นและหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สร้างความตระหนักให้ประชาชนป้องกันดูแลตนเอง และปิดกิจการ/กิจกรรมที่มีการรวมตัวกันของคนจำนวนมากเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค หากประชาชนทุกคนสามารถป้องกันตนเอง สวมใส่หน้ากากอนามัย รักษาสุขอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคมได้ และได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย จึงสามารถหยุดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และรัฐบาลก็จะสามารถผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ได้
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในขณะนี้ รัฐบาลได้เตรียมการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ตามขั้นตอนและมาตรฐานทางสาธารณสุข จึงต้องขอความร่วมมือประชาชนดูแลและป้องกันตนเอง รักษาสุขอนามัย รวมถึงผู้ประกอบการต้องวางมาตรการเตรียมการในการเปิดรับนักท่องเที่ยว แต่ต้องรอความพร้อมในด้านต่าง ๆ ให้มีความพร้อมให้มากที่สุด เพื่อมิให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคซ้ำอีก รวมทั้งต้องชมเชยเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ทุกพื้นที่ ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ รวมไปถึงพี่น้องประชาชนทุกคนที่ได้ร่วมมือกันในการป้องกันตนเอง ทำให้ประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดีมาจนถึงปัจจุบัน