THAI NEWS

โดย กองบรรณาธิการ M2F

24 พฤษภาคม 2563 : 14:33 น.

นักการศึกษาแนะปรับตัวช่วงโควิด-19 ต้องเริ่มจากเป้าหมายการเรียนรู้เพื่อเปิดให้เกิดรูปแบบต่าง ๆ ไม่ใช่แค่ยืนสอนหน้าชั้นเรียน แนะภาคนโยบายปลดล็อคให้โรงเรียนเกิดความยืดหยุ่นสอดรับกับพื้นที่

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และ The 101 ร่วมจัด public forum ผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ “ปรับโรงเรียน-เปลี่ยนครู–ปฏิรูปการเรียนรู้" เพื่อให้นักเรียนและครูได้เสนอแนวทางการสอนในช่วงการระบาดของโควิด-19 

นายเดชรัต สุขกำเนิด นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า ปัญหาการศึกษาของไทยปัญหาแรกคือ 1.เรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาซึ่งเดิมไม่ค่อยรู้กัน จนเกิดการระบาดของโค-19 ทำให้เห็นชัดขึ้นเช่นเข้าถึงเทคโนโลยี อุปกรณ์ออนไลน์ ไปจนถึงอนาคตที่ปัญหาเศรษฐกิจอาจทำให้หลายคนต้องหลุดจากระบบการศึกษา 2.ขาดปฏิสัมพันธ์ผู้เรียนผู้สอน และ 3.การออกแบบการเรียนให้เหมาะสมกับผู้เรียน ในการเรียนออนไลน์ที่ถูกพูดถึงยังคิดกันแต่ว่าืเป็นการยืนพูดหน้าชั้นเหมือนในห้องเรียนปกติ ทั้งที่ยังมีรูปแบบอื่นทั้งให้ดูสารคดี ชีวิตสัตว์ หรือแบบอื่น อย่างเกมออนไลน์ โพลออนไลน์ ซึ่งในชีวิตจริงเด็กสามารถดูโทรทัศน์ได้เป็นชั่วโมงเราจะทำยังให้เด็ก สนใจและดูแบบเรียนที่ไม่ใช่แค่การสอนแบบหน้าห้อง แต่ควรมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูนักเรียนร่วมด้วย

นายภาคิน นิมมานนรวงศ์ ครูสังคมศาสตร์ โรงเรียนกำเนิดวิทย์ กล่าวว่า แผนที่คิดไว้คือการลดจำนวนคนที่จะมาเรียนให้น้อยที่สุดเพื่อจำกัดและลดความเสี่ยงการติดเชื้อและพยายามทำให้การเรียนไปอยู่ในออนไลน์ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่สัปดาห์หน้า โจทย์ที่ยากของโรงเรียนคือเราจะทำได้ตามแผนแค่ไหน ซึ่งเรามีหลายแผนที่วางไว้ เพื่อรองรับโอกาสที่จะเกิด ซึ่งระยะสั้นเวลาพูดว่าโลกหลังโควิด-19 เราต้องรู้ก่อนว่าคือเมื่อไหร่ และหากเป็นอีก 2 ปีข้างหน้า ระหว่างนี้จะจัดการเรียนการสอนอย่างไร มีแผนแบบไหนบ้าง เราไม่สามารถบอกได้ว่าโมเดลไหนดีที่สุดไม่มีใครรู้จักนักเรียนได้ดีที่สุดเท่ากับอาจารย์ผู้สอน แต่ก็ต้องคุยกับนักเรียนและผู้ปกครองซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ อีกทั้งการจัดทำรูปแบบการสอนออนไลน์ ไม่เคยมีใครลองของใหม่ขนาดนี้ ถ้าพูดว่าทำไม่ได้ก็จบ แต่ถ้าบอกว่าทำได้ก็จะมีโอกาสที่รออยู่ ซึ่งในภาพใหญ่ไม่ใช่แค่ครูที่จะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้แต่ต้องมองไปถึงผู้กำหนดนโยบายที่ต้องมีความยืดหยุ่น ไปจนถึงมหาวิทยาลัยที่สอนครูที่จะต้องปรับตัวก่อนคนอื่น

ด้านนายศุภโชค ปิยะสันติ์ ผู้อำนวยการ โรงเรียนบ้านห้วยไร่สามัคคี จ.เชียงราย กล่าวว่า ความพร้อมของโรงเรียนประสบปัญหาหลายแห่ง เด็กออนไลน์ได้แค่บางส่วน ออนแอร์ได้บางส่วน บางส่วนต้องออฟไลน์ สิ่งที่โรงเรียนเผชิญสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ การต้องพูดคุยเพื่อให้เกิดการเรียนรู้เกิดประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ทำอย่างไรให้ขับเคลื่อนนโยบายกับปฏิบัติจริงให้ได้การเรียนรู้ดีที่สุด ซึ่งมีทั้ง กลุ่ม ม.ปลาย ที่ส่วนใหญ่เรียนออนไลน์ได้ อีกกลุ่มเข้าไม่ถึงออนไลน์ก็ต้องเกาะกับเนื้อหา DLTV อีกด้านยังมีช่องทางการเรียนรู้ที่เรียนจากชุมชน เรียนจากปราชญ์ชาวบ้าน ให้เขาไปหาความรู้ด้วยตัวเอง

ทั้งนี้ การเรียนรู้โดยให้เด็กดูทีวีโดยไม่สามารถซักถามหรือมีใครอธิบาย ตรงนี้ก็จะลำบากเพราะในพื้นที่บางบ้านมีข้อจำกัด ผู้ปกครองไม่มีเวลา ไม่มีความสามารถในการสอน ซึ่งตรงนี้เป็นโอกาสทองในการคิดค้นนวัตกรรม มีโอกาสสอนน้อย เจอเด็กสั้นๆ จะเลือกเนื้อหาวิธีไหน ในการสอนให้เกิดประสิทธิภาพ ถ้ามีการปลดล็อก ผ่อนคลายเราก็จะได้เห็น ครูได้ปล่อยของมีอิสระรูปแบบการเรียนการสอนได้มากขึ้น

ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาคุณภาพครู นักศึกษาครูและสถานศึกษา กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า การทำงานของ กสศ.ที่ผ่านมามุ่งเน้นสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ หรือนำร่อง ซึ่งเมื่อเกิดโรคระบาดเราพูดคุยให้มีการปรับการทำงาน เช่น โครงการTSQP 290 โรงเรียนต้องปรับอะไรบ้าง ยังมีโครงการการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกล ที่ต้องให้ความช่วยเหลือมากกว่าปกติจึงต้องมาคิดว่าจะพัฒนาอย่างไร ทั้งนี้ จากตัวอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศบรูไน เขามีระบบโฮมเลิร์นนิ่งแพ็คเกจให้ผู้ปกครองกับเด็กร่วมกันทำงานที่บ้าน รวมทั้งมีการเตรียมพร้อมจัดสภาพแวดล้อมเพื่อรองรับการเปิดเทอม ทั้งการจัดที่นั่งนักเรียน การก้าวเข้าโรงเรียน แบ่งครูออกเป็นสองกลุ่มทำงาน 2 สัปดาห์ที่โรงเรียน และหยุดสองสัปดาห์เพื่อไปลงพื้นออนไซท์ ช่วยเหลือให้คำปรึกษาเด็กในพื้นที่ ซึ่งสุดท้าย กสศ.ก็ต้องมาวิเคราะห์ย้อนกลับไปสู่เบื้องต้นคือไม่ต้องวิ่งตามเทคโนโลยีแต่ต้องเน้นไปที่การเรียนรู้

ข่าวเด่น

ข่าวที่น่าสนใจ