ศาลอาญาธนบุรี จำคุก 'แก๊งงานบวชวัดสิงห์' 16 คนโดน 5 ข้อหา โทษหนักสุดคุก 13-19 ปี ร่วมชดใช้โรงเรียน-นักเรียนกว่า 1.5 แสน รอลงอาญา 5 ราย ยกฟ้อง 1 ราย รองโฆษกชี้ให้โทษหนักเป็นบทเรียนแก่สังคมสอนใจวัยรุ่น
เมื่อวันที่ 30 ก.ย.ศาลอาญาธนบุรี อ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาธนบุรี 3 เป็นโจทก์ฟ้องร้องกลุ่มวัยรุ่นจากงานบวช จำนวน 22 คน ขัดขวางการสอบ GAT/PAT ภายในโรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ เนื่องจากไม่พอใจที่ไม่สามารถใช้เครื่องขยายเสียงในงานบวชเพื่อน จนบุกเข้าไปก่อนเหตุความวุ่นวายในการสอบ โดยฝ่ายโจทก์ฟ้องร้องในกรณีร่วมกันกระทำความผิด ฐานมั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไป เพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายรวม 15 คน ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ของผู้เสียหาย 2 ราย ร่วมกับข่มขืนใจผู้อื่นฯ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวัด และจำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานกระทำอนาจาร
ในจำนวนนี้ มีจำเลย 6 คน ที่ไม่มีพยานโจทก์เบิกความ ทั้งไม่ได้ข้อเท็จจริงว่าร่วมกับจำเลยคนอื่นในลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใด ไม่ปรากฏว่าถูกชี้ตัวจากผู้เสียหายคนใด คงมีเพียงภาพจากกล้องวีดิโอวงจรปิดว่าเข้าไปภายในโรงเรียน จึงฟังไม่ได้ว่ากระทำความผิดในข้อหาอื่นยกเว้นข้อหาบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวัดที่ให้การรับสารภาพเท่านั้น
ศาลพิจารณาพฤติการณ์แวดล้อมประกอบแล้ว จำเลยที่เหลือทั้ง 16 คน อยู่ภายในงานบวชด้วยกัน แต่งกายลักษณะเดียวกัน เดินไปที่เกิดเหตุพร้อมกันและในเวลาใกล้ชิดกัน ต่างกระทำความผิดในลักษณะเดียวกัน และกลับออกจากที่เกิดเหตุในเวลาใกล้ชิดกัน จึงฟังได้ว่าจำเลยทั้ง 16 คน เป็นตัวการร่วมกัน โดยเมื่อตัวการคนใดคนหนึ่งไปกระทำความผิด ตัวการอื่นแม้ไม่ได้ลงมือกระทำด้วยก็จำต้องรับผลของการกระทำนั้นด้วย โดยถือเอาการกระทำและเจตนาของตัวการผู้กระทำความผิดนั้นเป็นของตน
ส่วนฐานความผิดนั้น เห็นว่า การร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย ก็เพื่อเข้าไปมั่วสุมกันก่อความวุ่นวายขึ้นในโรงเรียน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเมือง โดยใช้วิธีขับไล่ครูคุมสอบและนักเรียนให้ออกจากห้องสอบอันเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นฯ ถือเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษฐานร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด แต่เมื่อครูคุมสอบหรือนักเรียนขัดขืน จำเลยบางคนจึงทำร้ายครูผู้คุมสอบหรือนักเรียนนั้น ๆ หรือทำลายทรัพย์สินให้ได้รับความเสียหาย นับว่าเป็นเจตนาที่เกิดขึ้นใหม่ในขณะนั้นหาใช่เจตนาแต่เดิมตั้งแต่ต้น จึงเป็นการกระทำความผิดต่างกรรมกัน เมื่อจำเลยแต่ละคนลงมือกระทำความผิดภายในเจตนาร่วมกันนี้ ตัวการผู้ร่วมกระทำความผิดคนอื่นจึงต้องรับผลของการกระทำความผิดเสมือนเป็นเจตนาและการกระทำของตนด้วย
ศาลมีคำพิพากษาให้ จำเลยที่ 1 และที่ 18 จำคุกคนละ 15 ปี 11 เดือน , จำเลยที่ 2 จำคุก 17 ปี 5 เดือน , จำเลยที่ 3 จำคุก 13 ปี 2 เดือน 15 วัน , จำเลยที่ 4 ที่ 10 ที่ 12 และที่ 15 จำคุกคนละ 18 ปี 11 เดือน , จำเลยที่ 7 และที่ 9 จำคุกคนละ 13 ปี 7 เดือน 10 วัน , จำเลยที่ 11 จำคุก 13 ปี 10 เดือน 15 วัน , จำเลยที่ 13 จำคุก 11 ปี 10 เดือน 15 วัน
จำเลยที่ 14 จำคุก 13 ปี 6 เดือน 20 วัน , จำเลยที่ 17 จำคุก 19 ปี 3 เดือน , จำเลยที่ 19 จำคุก 14 ปี 10 เดือน 20 วัน , จำเลยที่ 20 จำคุก 16 ปี 4 เดือน 22 วัน , จำเลยที่ 5 ที่ 6 ที่ 8 ที่ 21 และที่ 22 จำคุกคนละ 2 เดือน และปรับคนละ 2,500 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ 2 ปี
ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่ 7 ที่ 9 ถึงที่ 15 และที่ 17 ถึงที่ 20 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 1 (โรงเรียน) จำนวน 35,400 บาท และแก่ผู้เสียหายที่ 16 จำนวน 56,142.50 บาท ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่ 7 ที่ 10 และที่ 12 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 10 จำนวน 35,737 บาท และให้จำเลยที่ 15 และที่ 17 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 12 จำนวน 55,352.50 บาท ยกฟ้องจำเลยที่ 16 ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โดยจำเลยแต่ละรายมีชื่อดังนี้ นายมนตรี หรืออุ๊ พูลทรัพย์ อายุ 32 ปี ชาว กทม.ย่านบางขุนเทียน จำเลยที่ 1 , นายวัลลภ หรือเอกไฝ นุชแฟง อายุ 32 ปี ชาว กทม.ย่านบางบอน จำเลยที่ 2 , นายชาติสยาม จันทรวิภาค อายุ 24 ปี ชาว กทม. ย่านบางแค จำเลยที่ 3 , นายณัฐพงศ์ หรือเต้ย นุชแฟง อายุ 18 ปีเศษ ชาว กทม.ย่านบางบอน จำเลยที่ 4 , นายศรายุทธ หรือเต๋า นุชแฟง อายุ 24 ปี ชาว กทม.ย่านบางบอน จำเลยที่ 5
นายจีรศักดิ์ หรือหนึ่ง นีละเสวี อายุ 41 ปี ชาว กทม.ย่านบางบอน จำเลยที่ 6 , นายสมชาย หรือปี๊ด แก้วสิมมา อายุ 26 ปี ชาว จ.ร้อยเอ็ด จำเลยที่ 7 , นายชัชศิริ หรือกล้วย แซ่โง้ว อายุ 39 ปี ชาว กทม.ย่านบางบอน จำเลยที่ 8 , นายธวัช หรือวัช สดำพงษ์ อายุ 33 ปี ชาว จ.นครสวรรค์ จำเลยที่ 9 , นายวรภัทร หรือแอมพินิจปรีชา อายุ 28 ปี ชาว จ.สมุทรสาคร จำเลยที่ 10
นายอนุกูล หรือเอกหนัง สังข์ศรี อายุ 33 ปี ชาว กทม. ย่านจอมทอง จำเลยที่ 11 , นายจิรายุทธ หรือบอย อาจอาสา อายุ 25 ปี ชาว จ.สุรินทร์ จำเลยที่ 12 , นายธิติ หรือ ออฟ ไวยสุกรี อายุ 26 ปี ชาว กทม.ย่านบางบอน จำเลยที่ 13 , นายเมืองแมน หรือนาจ นิลโพธิ์ทอง อายุ 18 ปีเศษ ชาว กทม.ย่านบางบอน จำเลยที่ 14 , นายวิโรจน์ หรือโอ คำชาย อายุ 28 ปี ชาว กทม.ย่านบางบอน จำเลยที่ 15
นายดลราม หรือฟลุค เก่งวิชา อายุ 27 ปี ชาว จ.สมุทรสาคร จำเลยที่ 16 , นายขวัญชัย หรือขวัญ สุขเสมอ อายุ 29 ปี ชาว กทม.ย่านบางบอน จำเลยที่ 17 , นายเอกลักษณ์ หรืออาร์ม พูลทรัพย์ อายุ 26 ปี ชาว กทม.ย่านบางขุนเทียน จำเลยที่ 18 , นายไน้ท หรือปอน จ้อยเจริญ อายุ 20 ปี ชาว กทม.ย่านจอมทอง จำเลยที่ 19 , นายชนะชัย หรือ กอล์ฟ ใจหล้า อายุ 25 ปี ชาว กทม.ย่านบางบอน จำเลยที่ 20 , นายสิทธิชัย หรือต่าย จรสุข อายุ 37 ปี ชาว จ.อ่างทอง จำเลยที่ 21 , นายพีรพล หรือนะ เอมชาวนา อายุ 28 ปี ชาว จ.อ่างทอง จำเลยที่ 22
ด้านนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า คดีนี้ศาลจำคุกจำเลยสูงสุด 19 ปี 3 เดือน จึงเห็นว่าศาลได้พิพากษาลงโทษสถานหนักแล้ว ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ก็ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่เป็นการท้าท้ายสังคมและกฎหมาย โดยคำตัดสินก็เป็นไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ ส่วนอัยการเราทำหน้าที่ฟ้องคดีไปตามกฎหมาย ข้อเท็จจริงและหลักฐานทางคดี อัยการเราได้ตรวจสอบดูภาพถ่ายในที่เกิดเหตุ ดูภาพจากกล้องวงจรปิดและวัตถุพยานว่าใครเข้าร่วมเหตุการณ์ ใครโบกมือห้ามเพื่อน ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน
ทั้งนี้ ยืนยันว่า อัยการไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ใด สุดท้ายนี้ตนอยากให้ทั้ง 2 คดี คือ บุกโรงเรียนวัดสิงห์ กับ คดีลัลลาเบล เป็นบทเรียนให้กับวัยรุ่นที่ไปกับเพื่อน ต้องรู้จักรักตัวเองให้มาก สถานที่ใดเป็นสถานที่อโคจรก็ไม่ควรไป และต้องรู้จุดไหนสถานการณ์ใดควรต้องแยกตัวออกมา ไม่ว่างานบวช หรืองานรื่นเริงต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากมีสุรา สิ่งมึนเมาเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็มักจะเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ตามมา ดังนั้นเราต้องระมัดระวังตัวเองให้มาก เพราะคนที่เดือดร้อนที่สุดคือ พ่อแม่และตัวเอง