นายกฯควงผู้นำเกาหลีใต้ กล่าวปาฐกถา ชมใช้เวลา 60 ปี พัฒนาชาติรุ่งเรือง ยอมรับดีใจมากที่มาเยือน เลยพูดเยอะไปหน่อย ภูมิใจทหารไทยไปช่วยรบ
เมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ร่วมงาน “Thailand - Korea Business Forum” จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) และหอการค้าและอุตสาหกรรมสาธารณรัฐเกาหลี โดยมีนายมุน แช-อิน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี และคณะนักลงทุนชั้นนำจากสาธารณรัฐเกาหลี-ไทยกว่า 600 คนร่วมงาน โดย บีโอไอ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับหอการค้าและอุตสาหกรรมสาธารณรัฐเกาหลี หรือ KCCI
ทั้งนี้ ประกอบด้วย 1. การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านนโยบายส่งเสริมการลงทุน โอกาสการลงทุน และขั้นตอนการลงทุนในเกาหลีและไทย 2. ความร่วมมือสนับสนุนผู้ประกอบการ ที่รวมถึงผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดเล็ก และ Start Up ของเกาหลีใต้และไทยในการขยายกิจการไปทั่วโลก โดยการจัดให้มีกิจกรรมร่วมกันทางด้านธุรกิจ เช่น การเจรจาจับคู่ทางธุรกิจ
3. ความร่วมมือในการถ่ายทอดเทคโนโลยี และการฝึกอบรมสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายของเกาหลีและไทย เช่น อุตสาหกรรมดิจิทัล ยานยนต์ ไบโอเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ เป็นต้น 4. ความร่วมมือในการจัดคณะนักการลงทุน การจัดสัมมนาด้านการลงทุน หรือกิจกรรมส่งเสริมการลงทุนอื่นๆที่เป็นประโยชน์กับนักธุรกิจทั้งสองฝ่าย 5. ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการลงทุนที่เป็นประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย รวมทั้งสร้างบรรยากาศการลงทุนที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวปาฐกถาโดยทักทายเป็นภาษาเกาหลีว่า "อันยองฮาเซโย" ก่อนกล่าวว่า ดีใจที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ นำนักธุรกิจชั้นนำของประเทศมาเยือนประเทศไทยในครั้งนี้ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าไทยเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการลงทุนของนักลงทุน การเดินทางมาครั้งนี้เราได้ลงนามความร่วมมือกันหรือเอ็มโอยู 6 ฉบับ จากนั้นก็เหลือเพียงเอ็มโอดู คือต้องลงมือทำให้สัมฤทธิ์ผล สำหรับอาเซียนมีนโยบายเดินไปข้างหน้าโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และมีนโยบายที่สอดคล้องกับการพัฒนาของเกาหลี
นายกฯกล่าวว่า ขอชื่นชมการพัฒนาของประเทศเกาหลีที่ใช้เวลาเพียง 60 ปี ทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองได้มาก ต่างจากหลายประเทศที่ใช้เวลาเป็นร้อยปีก็ยังพัฒนาไม่เท่าที่เกาหลีทำได้ นั่นเพราะชาวเกาหลีมีความรักชาติ เสียสละ มีจิตสำนึก ซึ่งวัฒนธรรมความรักชาติของเกาหลีนั้น ได้สอดแทรกผ่านหนังและละครต่างๆ เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศชาติ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า นโยบายของเกาหลีสอดคล้องกับนโยบายของประเทศไทย ดังนั้นจะทำอย่างไรที่จะมาทำงานร่วมกัน สนับสนุนซึ่งกันและกัน รัฐบาลไทยมุ่งมั่นปฏิรูปเศรษฐกิจ ซึ่งเรามีปัญหาของผู้มีรายได้น้อย เช่นเกษตรกร ที่ต้องแก้ไขปัญหาเรื่องผลผลิตกับราคาให้เหมาะสม พร้อมกันนี้ รัฐบาลยังได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ท่าเรือ สนามบิน อุตสาหกรรมเพื่อรองรับอนาคต
"ขอชื่นชมนโยบายมุ่งใต้ใหม่ ของเกาหลี (New Southern Policy - NSP) ที่มุ่งขยายความร่วมมือด้านต่างๆ มาสู่ภูมิภาคอาเซียน ซึ่ง ไทยในฐานะสมาชิกอาเซียนและดำรงตำแหน่งประธานในปีนี้ เห็นว่า นโยบายดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภูมิภาคในการสร้างประโยชน์ร่วมกันในอนาคต โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของสาธารณรัฐเกาหลี โดยเฉพาะในด้านการค้า และการลงทุน ด้วยความโดดเด่นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม นักลงทุนเกาหลีจึงเป็นหนึ่งในนักลงทุนต่างชาติที่สำคัญ และเป็นประเทศเป้าหมายในการสร้างความร่วมมือกับไทยมาโดยตลอด ทั้งนี้ ภูมิภาคอาเซียนมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่ม CLMVT ที่ถือเป็นหัวใจที่แท้จริงของอาเซียน ทั้งในด้านความเชื่อมโยง การเป็นศูนย์กลางการผลิต การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ซึ่งไทยมีทำเลที่ตั้งอยู่ใจกลางอนุภูมิภาคนี้ สามารถทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง ฐานการลงทุน และเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาค ภูมิภาค และโลกได้อย่างดีเยี่ยม" นายกฯกล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งมั่นการปฏิรูปเศรษฐกิจ ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่มุ่งขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม โดยรัฐบาลได้พัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อเป็นฐานการลงทุนที่พร้อมสรรพในทุกด้าน รวมทั้งเร่งเดินหน้าพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และทักษะแรงงาน เพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมถึงการลงทุนจากเกาหลีที่จะมาตั้งฐานธุรกิจในไทยภายใต้นโยบาย NSP และเห็นว่าเป็นโอกาสดีของภาคเอกชนทั้งสองประเทศ ด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเต็มที่ พร้อมกันนี้ ขอเชิญภาคเอกชนสาธารณรัฐเกาหลีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ในปีนี้ รัฐบาลไทย โดย BOI ได้ประกาศให้เป็นปีแห่งการลงทุนด้วย
"ไทยกับเกาหลีมีความสัมพันธ์กันมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามเกาหลี ซึ่งชาวเกาหลีได้ขอบคุณประเทศไทยเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันคนที่ไปรบในสงครามเกาหลีปัจจุบันก็ยังอยู่ มีอายุถึง 90 ปีกันแล้ว โดยวันนี้เมื่อต่างคนต่างพบกันก็เกิดความรู้สึกดีใจ ผมเองก็เคยได้มีโอกาสเป็นผู้บังคับการกองพันพยัคฆ์น้อยที่ไปรบที่เกาหลีมา ซึ่งเล่ากันว่าที่เกาหลีนั้นอากาศหนาวมาก แต่แม้จะหนาว ประเทศเขาก็เจริญเติบโตได้ถึงขนาดนี้ ต่างจากของเราที่มีภัยแล้งกับน้ำท่วม 2 อย่าง แต่ของเกาหลีสู้อากาศหนาวยังสู้ได้ จึงอยากให้คนไทยดูเกาหลีเป็นตัวอย่าง เพราะของเราอยู่อย่างสบายๆ แต่รายได้น้อย ดังนั้น จึงต้องพัฒนาบุคลากร ทั้งนี้ ไม่ได้ว่าคนของประเทศตัวเอง แต่ต้องการให้บุคลากรของโลกนี้มีความเข้มแข็ง มีความรักชาติ เพื่อที่จะไม่มีความขัดแย้ง เราภาคภูมิใจที่ได้ไปร่วมรบที่เกาหลี ความภาคภูมิใจยังมีถึงทุกวันนี้ และคนเกาหลีก็ยังระลึกถึงเสมอ วันนี้อาจจะพูดเยอะไปหน่อย เพราะดีใจที่ประธานาธิบดีมา ซึ่งภรรยาท่านก็น่ารัก ชอบประเทศไทยมาก ผมเองก็ชอบทั้ง 2 ท่าน คนเราถ้ารักกันพอใจกัน เจอหน้ากันครั้งเดียวก็รู้แล้ว " พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ก่อนกล่าวจบ นายกรัฐมนตรี ขอบคุณผู้เข้าร่วมงานด้วยภาษาเกาหลีว่า “คัมซาฮัมนีดา”