สสส.จัดเวทีให้ผู้สมัครส.ส.คนรุ่นใหม่จาก 5 พรรคการเมืองโชว์นโยบายด้านการศึกษา ทุกพรรคเห็นพ้องพัฒนาด้านการศึกษาเป็นหัวใจหลัก
เมื่อวันที่ 4 มี.ค. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีแสดงนโยบายด้านเด็กและเยาวชน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ "มุมมอง New Gen พรรคการเมืองกับเรื่องปิดเทอมสร้างสรรค์" จากผู้สมัครส.ส.คนรุ่นใหม่ 5 พรรคการเมือง ณ สยามสแควร์วัน
น.ส เยาวภา บุรพลชัย พรรคชาติพัฒนา (ชพน.) กล่าวว่า พรรคมีนโยบายสำคัญการพัฒนาเด็กและเยาวชนใน 2 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1.ด้านการศึกษา จะต้องมีห้องเรียนดิจิทัลให้เด็กได้เรียน 2-3 ภาษา มีทุนครูเทคโนโลยีให้อำเภอละ 1 ล้านบาท เพื่อให้ครูออกไปพัฒนาตนเอง และกลับมาพัฒนาท้องถิ่น ทำให้เด็กเป็นนักอ่าน นักคิด นักปฏิบัติและนักนำเสนอที่เก่งกาจ และส่งเสริมการเรียนรู้ให้สามารถเรียนรู้และใข้เวลากับครอบครัว จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา และ 2.ด้านกีฬา จะให้มีมินิสปอร์ต คอมเพล็กซ์ที่ส่งเสริมกีฬาในทุกอำเภอ และให้มีมินิฟิตเนสในทุกหมู่บ้าน เพราะเชื่อว่ากีฬาจะเป็นส่วนสำคัญในส่งเสริมสุขภาพกายและใจที่ดี และสร้างความสามัคคี เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความปรองดอง ก้าวข้ามความขัดแย้ง
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า พรรคปชป.มีนโยบายในการปฏิรูประบบการศึกษาตั้งแต่ต้นจนปลายทาง โดยช่วงอายุ 0-8 ปี มีเบี้ยเด็กเข้มแข็งถ้วนหน้าเดือนละ 1,000 บาทในการช่วยเหลือพ่อแม่นำมาให้เด็กเข้าถึงโภชนาการที่ดีมีคุณภาพ ช่วงปฐมวัย เพิ่มศูนย์เด็กเล็กคุณภาพทั่วประเทศ เพราะการลงทุนในช่วงวัยนี้จะลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้มากที่สุด ซึ่งจะมีการฝึกอบรมผู้ดูแลเด็กในช่วงวัยนี้เฉพาะด้วย ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา จะปรับหลักสูตร บทบาทห้องเรียนจะถูกพลิกใหม่เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ
ดร.ไกรเสริม โตทับเที่ยง พรรคพลังประชารัฐ(พปชร .) กล่าวว่า พปชร.มีนโยบาย เน้นเรื่องการสร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างการเข้าถึงการศึกษา จึงจะจัดตั้งธนาคารเพื่อการศึกษา จะเป็นจุดพื้นฐานในการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา แนวทางไม่ใช่การกู้ยืมเงิน แต่เป็นการให้ทุนการศึกษาที่ขึ้นกับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของลูก ไม่ใช่เป็นแบบปัจจุบันที่ลูกเรียนยังไม่รู้ผลเป็นอย่างไร แต่พ่อแม่เป็นหนี้ จากการไปกู้ยืมมาส่งให้เรียนแล้ว
"ไม่ใช่แค่ปิดเทอมสร้างสรรค์แต่ต้องเน้นที่เวลาว่างสร้างสรรค์ที่สามารถจัดให้มีได้ทุกวันและทำอย่างต่อเนื่อง ให้เด็กเลือกทำกิจกรรมตามที่ชอบ ที่สำคัญ คือ ต้องเปิดโอกาสให้เด็กรับรู้ว่ามีพื้นที่ที่เขาสามารถไปทำกิจกรรมที่สนใจที่ไหนบ้าง ซึ่งพปชร.จะสนับสนุนให้พื้นที่ในกทม.มี 50 สวนสาธารณะที่พร้อมให้เด็กไปทำกิจกรรมและ50พื้นที่สร้างสรรค์ ส่วนในกลุ่มเด็กโตขึ้นจัดกิจกรรม เช่น จิตสาธารณะ ฝึกงาน เรียนรู้สตาร์ทอัพต่างๆ เป็นต้น"ดร.ไกรเสริมกล่าว
ด้าน นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า การศึกษาปฐมวัยมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะสร้างความใฝ่ฝันและบ่มเพาะให้เป็นคนดี พรรคจึงมีนโยบายที่จะทำศูนย์พัฒนาเด็กอัจฉริยะ 2 หมื่นแห่งทั่วประเทศทุกชุมชน รวมถึงศูนย์คนชราด้วย ในระบบโรงเรียนจะคืนโรงเรียนสู่ผู้ปกครอง เพราะครูจะใกล้ชิดกับเด็กรองจากพ่อแม่ ย่อมรู้ว่าเด็กแต่ละคนมีแววในด้านใด ครูจึงต้องคุยกับผู้ปกครองเพื่อให้รู้ว่าลูกเก่งด้านไหน ควรส่งเสริมอย่างไร ทำให้พ่อแม่รู้ศักยภาพของลูก และลดขนาดห้องเรียน ให้ครู้เข้าถึงนักเรียนแต่ละคนมากขึ้น
ขณะที่ น.ส.กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ พรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า พรรคจะสร้างรากฐานและพื้นฐานการศึกษาใหม่ทั้งหมด โดยเริ่มจากการใช้งบประมาณ 3 หมื่นล้านบาทต่อปีเป็นเวลา 3 ปี ในการพัฒนายกระดับสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ตั้งแต่การพัฒนาคุณภาพบุคลากรและอุปกรณ์ อาทิ พัฒนายกระดับคุณภาพศูนย์เด็กเล็ก ให้สวัสดิการพ่อแม่ที่มีลูกอายุ 0-6 ปี เดือนละ 1,200 บาททำให้วางแผนชีวิตได้ดีขึ้นไม่ต้องห่วงว้า จะมีเงินเพื่อให้ลูกหรือไม่ วัยเข้าเรียนต้องให้ร.ร.ยกระดับสิ่งแวดล้อมให้เด็กสามารถใช้พื้นที่ในร.ร.เรียนรู้เต็มที่
สำหรับ โรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลาง 17,000 แห่งทั่วประเทศต้องมีอิสระ ในการจัดสรรงบประมาณ ด้านอาหารโถชนาการ จัดให้มีนักโภชนาการหรือนักกำหนดอาหารในทุกเขตพื้นที่การศึกษา ให้เด็กได้เข้าใจวิธีการบริโภคอาหารที่ถูกต้องเหมาะสมตามช่วงวัย ด้านสุขภาพจิต การแก้ปัญหาเบื้องต้น พัฒนาบุคลากรในร.ร.ให้เข้าใจสุขภาพจิตขั้นพื้นฐาน สามารถคัดกรองเด็กและส่งต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงได้ นอกจากนี้ จะปฏิรูปข้อสอบลดจำนวนการสอบระดับชาติลง ลดวิชาแกนกลาง เพิ่มวิชาการท้องถิ่น ให้มีความหลากหลาย และปฏิรูประบบผลิตครู ตั้งแต่การคัดเลือก ช่องทางการพัฒนาอบมรมครูต้นแบบ