สสส.จับมือเครือข่าย รวมพลังแก้ปัญหาพฤติกรรมเด็กติดเค็ม” ตั้งเป้าลดเค็ม 30% ในปี 68 พบ โจ๊กถ้วย-ปลาเส้น-สาหร่าย โซเดียมสูง เด็กไทยกินเค็มเกิน 5 เท่า ตั้งเป้าลด 30%
เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมแถลงรวมพลังประกาศเจตนารมณ์ “แก้ปัญหาพฤติกรรมเด็กติดเค็ม” พร้อมประกาศวันจัดงาน วันไตโลกปี 2562 โดยเครือข่ายลดการบริโภคเค็ม สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย ชมรมโรคไตเด็ก กระทรวงสาธารณสุข สสส. และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
พ.อ.นพ.อดิสรณ์ ลำเพาพงศ์ กรรมการบริหาร สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย และแพทย์โรคไตในเด็ก กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคไตทั่วโลกกว่า 850 ล้านคน ทำให้โรคไตเป็นสาเหตุการตายอันดับที่ 6 ของสาเหตุการตายทั้งหมด สิ่งที่น่าสนใจคือ แนวโน้มคนไทยป่วยเป็นโรคไตเพิ่มขึ้น 15% ต่อปี และมีผู้ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นถึง 1,500,000 คน ภายในระยะเวลา 5 ปี โรคเหล่านี้สัมพันธ์กับพฤติกรรมกินเค็ม ที่นอกจากผู้ใหญ่กินเค็มเกิน 2 เท่าแล้ว ย่อมส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคของเด็กซึ่งเด็กไทยกินเค็มเกินเกือบ 2-5 เท่า
ทั้งนี้ ปริมาณโซเดียมเฉลี่ยที่เด็กรับประทานอยู่ที่ 3,194 มิลลิกรัม/วัน ขณะที่ปริมาณโซเดียมที่เด็กวัยเรียนควรได้รับ อายุ 6-8 ปี อยู่ที่ 325-950 มิลลิกรัม อายุ 9-12 ปี อยู่ที่ 400-1,175 มิลลิกรัม และอายุ 13-15 ปี อยู่ที่ 500-1,500 มิลลิกรัม เนื่องจากโซเดียมเป็นสารปรุงรสในอาหารเพื่อกระตุ้นน้ำลาย ทำให้เด็กอยากอาหารมากขึ้น เป็นที่พอใจของผู้ปกครอง แต่ถ้ากินเค็มมากเกินไปก็เกิดปัญหาติดรสเค็ม ซึ่งจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงเมื่อโตขึ้น รวมถึงโรคกระดูกพรุน เพราะสูญเสียแคลเซียมจากการปัสสาวะ และมะเร็งในกระเพาะอาหารในอนาคต
ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดการบริโภคเค็มและคณะทำงานการจัดงานวันไตโลก กล่าวว่า ผู้ปกครองมักให้เด็กกินเค็มโดยไม่รู้ตัว ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปและขนมกรุบกรอบที่พบว่ามีปริมาณโซเดียมสูง เช่น โจ๊กสำเร็จรูป 1 ถ้วย มีปริมาณโซเดียมสูงถึง 1,269 มิลลิกรัม ส่วนขนมที่มีโซเดียมสูง เช่น ปลาเส้น มีปริมาณโซเดียมถึง 666 มิลลิกรัม/ซอง สาหร่าย 304 มิลลิกรัม/ซอง มันฝรั่งทอด 191 มิลลิกรัม/ซอง การบริโภคอาหารเหล่านี้เพียง 1 ซอง ปริมาณโซเดียมก็เกินความต้องการต่อวันแล้ว หากเด็กเคยชินกับการกินเค็มก็มีแนวโน้มเป็นผู้ใหญ่ติดเค็ม และส่งผลต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง หัวใจ และไต ตามมา
ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. กล่าวว่า ในสหรัฐอเมริกา พบว่า 90% ของเด็กเยาวชนกินเค็มเกินกว่าค่ามาตรฐาน โดยพบเด็กเริ่มกินเค็มอายุน้อยที่สุดคือ 1-3 ขวบ ถึง 79% ส่งผลให้ 1 ใน 7 คน ของเยาวชนอายุระหว่าง 12-19 ปี มีความดันโลหิตสูง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง จึงมีมาตรการปรับสูตรลดปริมาณโซเดียมในอาหารและขนมขบเคี้ยว
อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์ว่าหากลดโซเดียมเพียง 9.5% ในเด็กจะช่วยป้องกันโรคหัวใจได้กว่า 1 ล้านรายและประหยัดงบประมาณจากค่ารักษาพยาบาลได้ถึง 32 พันล้านเหรียญสหรัฐ เช่นเดียวกับในแคนาดามีมาตรการแก้ปัญหาพฤติกรรมเด็กติดเค็ม โดยพบว่า เด็กอายุ 4-8 ปี มากกว่า 90% บริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูงและมีความเสี่ยงต่อภาวะความดันโลหิตสูงเมื่ออายุมากขึ้น โดย 75% ของโซเดียมที่บริโภคมาจากอาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป และในร้านอาหาร
นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า คนไทย 3 ใน 4 เสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต การบริโภคโซเดียมที่เกินความต้องการ ทำให้คนไทยเสียชีวิตถึงปีละกว่า 20,000 คน และมีความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากพฤติกรรมติดเค็มสูงถึง 98,976 ล้านบาทต่อปี จากโรคหัวใจและหลอดเลือดและไตวายระยะสุดท้าย การลดปริมาณการบริโภคโซเดียมลงจึงเป็นมาตรการที่จะช่วยปกป้องชีวิตของประชาชนได้ดีที่สุดทางหนึ่ง
นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการประกาศเจตนารมณ์แก้ปัญหาพฤติกรรมเด็กติดเค็มว่า กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับภาคีเครือข่ายได้จัดทำยุทธศาสตร์ลดการบริโภคเกลือและโซเดียมในประเทศไทย โดยตั้งเป้าหมายลดเค็มให้ได้ 30% ภายในปี 2568 สอดคล้องกับเป้าหมายร่วมกันขององค์กรอนามัยโลก เนื่องจากปัจจุบันมีคนไทย 22.05 ล้านคน ป่วยเป็นโรคที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมติดเค็ม ทั้งความดันโลหิตสูง หลอดเลือดสมอง หัวใจขาดเลือด และโรคไต จึงเกิดความร่วมมือของทุกภาคส่วนร่วมกันลดการบริโภคเกลือและโซเดียม โดยเฉพาะการปกป้องเด็กและเยาวชนเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคในอนาคต