'พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ' โพสต์เฟสบุกว่าด้วยเรื่องกัญชา ร่ายยาวจากอดีตถึงปัจจุบัน เหน็บกรมทรัพย์สินทางปัญญา ปฏิรูปองค์กรทันสมัย อย่าเป็น 'กรมสูญสิ้นทางปัญญา'
เมื่อวันที่ 14 พ.ย.นายพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ หรือ "น้าหมู" ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตรุ่นเก๋า ได้ออกมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยพูดถึงเรื่อง กัญชา โดยระบุข้อความว่า สมัยผมเป็นหนุ่ม การสูบกัญชาเป็นสิ่งปกติ คนทั้งบ้านทั้งเมืองก็สูบ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ หมอ ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่สูปกัญชากันเป็นธรรมดา ยังเอาใส่แกงไก่ ใส่น้ำกั๊วยเตี๋ยวกินด้วย
อยู่ๆโดยไม่รู้สาเหตุ กัญชาก็กลายเป็นยาเสพติด ใครสูบ ใครมีไว้ ใครขาย ก็ติดคุก คนทั้งบ้านทั้งเมืองก็มึนงงสงสัย แต่ก็ได้แต่ทำการหลบๆซ่อนๆ ก็ได้แต่แอบนินทากันว่า คงเป็นเพราะมีบุหรี่จากอเมริกาที่มีสารเสพติดร้ายแรงกว่ากัญชามาขายในบ้านเรา เลยทำให้กัญชาต้องถูกกีดกันออกจากเส้นทาง
ไม่กี่วันต่อมาบุหรี่ มาร์โบโร่ พาลม่อน และอีกหลายยี่ห้อของอเมริกาก็เข้ามาขายเต็มบ้านเต็มเมือง คนที่อมควันกัญชาก็ต้องหันมาอมควันบุหรี่นอกแพงๆ
แต่ในที่สุดวันนี้ก็พิสูจน์แล้วว่า กัญชาเป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ จนประเทศที่กีดกันกัญชาก็หันมาขายกัญชาให้ผู้คนได้สูบกันอย่างเสรี เช่นอเมริกา และอีกหลายประเทศในยุโรป ในเพื่อนบ้านเราเขาก็ปลูกและซื้อขายกันมานานแล้วเช่นที่ เขมร ลาว ยังไงบ้านเราก็ยังทำท่าเกรงกลัวกัญชา เลยให้แค่เอากัญชามาทำยา แต่ก็ยังห้ามชาวบ้านปลูกและสูบ (ไม่รู้กลัวอะไร) ก็ยังดี ถือว่ายังทันสมัยอยู่บ้าง
แต่ข่าวดีที่กัญชาจะถูกนำมาใช้ (เป็นยา) ออกมาไม่กี่วัน ก็มีข่าวแปลกประหลาดออกมาว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้อนุญาตให้บริษัทของต่างประเทศ มาจดสิทธิบัตรว่า เป็นเจ้าของสารในต้นกัญชา (ทั้งๆที่สารในพืชตามธรรมชาติ ไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้)
ยุ่งละสิ ถ้าเราเอากัญชามาทำยา ก็ต้องไปซื้อลิขสิทธิ์กับบริษัทที่จดสิทธิบัตรไว้ ถ้าเขาไม่ขายให้ เราก็ทำยาไม่ได้ หรือเอาไปทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเขาขายแพงๆเราก็คงไม่มีปัญญาไปซื้อ กรรมเวรๆๆๆๆ ทำไมหน่วยงานระดับนี้จึงไม่รู้อะไรจดได้ อะไรจดไม่ได้
แต่ผมก็ไม่แปลกใจหรอกครับ ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาจะเป็นแบบนี้ เพราะที่ผ่านมามีหลายรายการที่ทรัพย์สินทางปัญญาของบ้านเราถูกต่างชาติเอาไปจดสิทธิบัตรเป็นเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพร ผลไม้ สิ่งประดิษฐ์คิดค้น ศิลปวัฒนธรรม แม้แต่เรื่องลิขสิทธิ์เพลง ผมก็เคยขึ้นโรงขึ้นศาลสู้กับบริษัทขายเพลงกรมทรัพย์สินทางปัญญาก็ไม่มีบทบาทอะไรเลย
ปล่อยให้ผู้สร้างสรรค์ สู้ไปตามยถากรรม (ทั้งๆที่ทางสากลเขากำหนดว่า ลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ เป็นของผู้คิดสร้างสรรค์ โดยธรรมชาติ ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของผลงานนั้นได้) ก็ได้แต่รอดูและภาวนาให้กรมทรัพย์สินทางปัญญา ปรับปรุง ปฏิรูป ให้เป็นองค์กรที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ
ถ้าไม่เช่นนั้น “กรมทรัพย์สินทางปัญญา” ก็คงเป็น “กรมสูญสิ้นทางปัญญา”