ตำรวจกองปราบบุกรวบผู้ต้องหารายที่สองร่วมก่อเหตุสลดฆ่าสองผัวเมียคนไทยในใต้หวันหนีกบดานอยู่ในกาฬสินธุ์ เบื้อต้นรับสารภาพร่วมก่อเหตุจริงได้ค่าจ้าง 5 แสนบาททำกับเพื่อนที่ยังหนีอยู่อีกคน
เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. ที่กองบังคับการปราบปราม ภายหลังจากเมื่อวานนี้ (18 มิ.ย.) นายสันติ ศุภอภิรดีไพลิน อายุ 35 ปี ชาว จ.เชียงใหม่ ผู้ต้องหาคดีฆ่า น.ส.พจนีย์ แซ่หลี่ หรือ มี่ อายุ 35 ปี และ นายประเสริฐ โนราษ อายุ 32 ปี 2 สามีภรรยาชาวไทย ที่ประเทศไต้หวัน ได้ยอมเปิดปากรับสารภาพว่า ได้ร่วมกันกับเพื่อนคนไทยอีก 2 คนก่อเหตุดังกล่าว ประกอบด้วย นายสามารถ แซ่หลี และ นายธนวัฒน์ พุ่มเข็มทอง โดยทั้งคู่ได้เดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา จากนั้นพนักงานสอบสวนจึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลอาญาอนุมัติออกหมายจับในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่น และฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรอง เนื่องจากพฤติการณ์กระทำความผิดเหี้ยมโหดเกินมนุษย์ ซึ่งอยู่ระหว่างการติดตามตัวอย่างเร่งด่วน ตามที่มีการรายงานข่าวไปก่อนหน้าแล้วนั้น
ล่าสุด ชุดปฎิบัติการพิเศษหนุมานกองปราบได้ควบคุมตัวนายธนวัฒน์ พุ่มเข็มทอง หนึ่งในผู้ต้องหาที่ร่วมกับนายสันติ ศุภอภิรดีไพลิน และนายสามารถ แซ่หลี วางแผนลวง 2 สามีภรรยาชาวไทยมาฆาตกรรม ก่อนนำศพขึ้นรถเก๋งไปทิ้ง จากนั้นนายธนวัฒน์ได้หลบหนีกลับมาในไทย และกบดานอยู่ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ และถูกจับกุมได้ในเวลาต่อมา
สำหรับ วันเวลาและสถานที่จับกุม เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. เวลา 07.00 น. เจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันจับกุมนายธนวัฒน์ อายุ 42 ปี ผู้ต้องหาหมายจับศาลอาญาที่ 1221 / 2565 ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2565 ในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจับได้บริเวณหน้าบ้านไม่มีเลขที่ใน ต.ดงมูล อ.หนองกรุงศรี จ.กาฬสินธุ์ จากนั้นจึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวนกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
สำหรับ คำให้การเบื้องต้นของผู้ต้องหาในชั้นจับกลุ่ม ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้ร่วมกับนายสันติและพวกอีกหนึ่งคน ก่อเหตุใช้ท่อนเหล็กตี สองสามีภรรยาจนเสียชีวิต จากนั้นจึงนำศพขึ้นรถเก๋งไปทิ้งก่อนจะหลบหนีกลับเข้ามาในไทยและมากบดานอยู่ในพื้นที่จ.กาฬสินธุ์กระทั่งถูกจับกุมได้ในเวลาต่อมา
ต่อมาเวลา 14.30 น. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พร้อมด้วย พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.มีชัย กำเนิดพรม รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ รอง ผบก.ป. และ พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ รอง ผบก.ป. ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุม นายธนวัฒน์ ผู้ร่วมขบวนการฆาตกรรมโหด
พล.ต.ท.จิรภพ เปิดเผยว่า เบื้องต้นในชั้นจับกุม ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกับนายสันติ และพวกอีก 1 คน ก่อเหตุใช้ท่อนเหล็กตีสองสามีภรรยาจนเสียชีวิต หลังจากนั้นจึงนำศพขึ้นรถเก๋งไปทิ้ง ก่อนจะหลบหนีกลับมาในราชอาณาจักร และมากบดานอยู่ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ และถูกจับกุมในเวลาต่อมา แต่ไม่ใช่คนลงมือฆ่า ซึ่งนายธนวัฒน์ ได้บอกแล้วว่าใครเป็นคนลงมือ แต่ยังไม่ขอเปิดเผย
พล.ต.ท.จิรภพกล่าวถึงการแบ่งหน้าที่ของผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ว่า นายสันติเป็นคนว่าจ้างให้นายธนวัฒน์และนายสามารถ ร่วมก่อเหตุ โดยจะให้ค่าจ้างจำนวน 500,000 บาท ให้มัดจำก่อน 20,000 บาท และหลังจากก่อเหตุในวันที่ 8 มิ.ย. นายสันติได้เดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 9 มิ.ย. ก่อนที่จะให้ผู้ต้องหาอีก 2 ราย เดินทางกลับไทยในวันที่ 11 มิ.ย. แล้วไปกบดาน
สำหรับ ปมการฆาตกรรม ตอนนี้พุ่งประเด็นไปที่เรื่องของความขัดแย้งระหว่างนายสันติกับผู้เสียชีวิตเป็นหลัก ส่วนเหตุผลนั้นยังไม่ขอเปิดเผย ส่วนผู้ก่อเหตุอีกหนึ่งราย (นายสามารถ แซ่หลี) ที่ยังหลบหนีการจับกุม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งดำเนินการสืบสวนติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้แล้ว จะมีการส่งตำรวจไปที่ไต้หวันหรือไม่ พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า ทางผบ.ตร. ได้สั่งการและจัดทีมไว้แล้ว เบื้องต้นมีตำรวจ 6 นาย ที่จะเดินทางไปสางคดีที่ไต้หวัน ส่วนการดำเนินคดีข้อหาฆาตกรรม ยืนยันว่าดำเนินคดีที่ประเทศไทย ส่วนในข้อหาอื่นๆเช่น การอำพรางศพต้องดำเนินคดีที่ไต้หวัน ส่วนผู้เสียชีวิตและผู้ต้องหาจะมีการพัวพันเรื่องยาเสพติดหรือไม่นั้น ต้องไปสอบสวนขยายผลต่อไปอย่างละเอียดอีกที
เมื่อถามว่า คดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร อัยการสูงสุดเป็นผู้มีอำนาจในการสอบสวน ตอนนี้ทางอัยการสูงสุดได้มีการตั้งทีมสอบสวนหรือยัง และมีใครบ้าง พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีความผิดที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดก็มีอำนาจในการสอบสวน และการสอบสวนทั้งหมดเราก็จะได้กราบเรียนท่านอัยการสูงสุดตามกฎหมาย เพราะคดีนอกราชอาณาจักร ในการสืบสวนสอบสวนต้องมีผู้รับผิดชอบ ดังนั้น ในระยะหนึ่งก็ต้องรายงานไปยังท่านอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณา แต่ตอนนี้ยังไม่ได้แจ้งรายงานไป ต้องรอผลการพิจารณาของอัยการสูงสุด
ภายหลังการแถลงข่าวเสร็จสิ้น นายตี๋ ญาติของผู้เสียชีวิต (สองสามีภรรยา) ได้เข้ามอบกระเช้าเพื่อขอบคุณทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนจะเปิดเผยถึงการดำเนินคดีว่า การดำเนินคดีให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เชื่อว่ากฎหมายบ้านเราศักดิ์สิทธิ์ ส่วนที่ผู้ต้องหาอ้างว่าน้องสาวของตนเกี่ยวพันกับสิ่งผิดกฎหมายหรือธุรกิจมืดหรือไม่นั้น ตนไม่ปักใจเชื่อ เพราะน้องสาวเป็นคนขยัน เป็นคนที่เก็บหอมรอมริบ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ทำมาหากิน ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เพราะมองว่ารายได้มีมากพอสมควรแล้ว