ผบ.ตร.มั่นใจดำเนินคดีมือฆ่าสามีภรรยายัดท้ายรถที่ไต้หวันได้ แม้คดีเกิดในต่างประเทศ เตรียมเอาผิดข้อหาฆาตกรรมตามมาตรา 8 ป.อาญา
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เปิดเผยถึงกรณีเจ้าหน้าที่สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย และตำรวจไต้หวัน ให้ข้อมูลและประชุมร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เพื่อขอความร่วมมือตำรวจไทยในการติดตามจับกุม นายสันติ ศุภอภิรดีไพลิน อายุ 35 ผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม 2 สามีภรรยา รวมลูกแฝดในท้อง 4 ศพ ทิ้งท้ายรถเอสยูวี BMW X4 บริเวณลานจอดรถสถานีรถไฟความเร็วสูงเถาหยวนในไต้หวัน ว่า เบื้องต้นได้ให้พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามสอบปากคำและตรวจสอบพยานหลักฐานจากเจ้าหน้าที่ไต้หวัน ส่วนการที่ครอบครัวผู้เสียชีวิตไปร้องกับตำรวจภูธรภาค 5 (ภ.5) ก็สามารถนำมารวมคดีให้กองปราบปรามดำเนินการเป็นเจ้าของคดีได้ และนำหลักฐานจากเจ้าหน้าที่ไต้หวันไปขอศาลอนุมัติหมายจับ ซึ่งยังไม่ทราบมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุแน่ชัด
ทั้งนี้ กรณีที่ผู้ต้องหามีถือสัญชาติ ไทย-ไต้หวันนั้น ทางตำรวจสันติบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะไปตรวจสอบ แต่เบื้องต้นหากมีสัญชาติไทย สามารถดำเนินคดีได้ตามกฎหมายไทย ในข้อฆาตกรรมได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 8 เป็นคดีที่คนไทยก่อเหตุนอกราชอาณาจักร แต่จะต้องพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้ง รวมถึงอาจพิจารณาดำเนินคดีกรณีใช้มากกว่า 1 สัญชาติด้วย ได้สั่งการในส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว รวมถึงการป้องกันไม่ให้ผู้ต้องหาหลบหนีออกนอกประเทศด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า นายสันติพื้นเพเป็นชาว อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ จากการตรวจสอบแล้วพบว่า พ่อของผู้ต้องสงสัยนั้นเคยเป็นทหารของพรรคก๊กมินตั๋งหลังจากแตกทัพได้หลบหนีเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในประเทศไทย ตั้งแต่สมัยสงครามลัทธิในประเทศจีนจนกระทั่งต่อมาในรุ่นลูก ทำให้ผู้ต้องสงสัยได้รับสิทธิ์เป็นพลเมืองของไต้หวัน เพราะถือว่าพ่อเคยเป็นทหารของผู้ก่อตั้งไต้หวันมาก่อน ส่วนแนวทางการสืบสวนติดตามตัวนั้น ทางคณะสืบสวนของกองปราบปรามยังเชื่อว่า อาจยังคงหลบอยู่ในถิ่นของตนเอง ที่ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนประเทศไทยแค่ 10 กว่ากิโลเมตร ทำให้ง่ายต่อการหลบหนีออกนอกประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีผู้พบรถยนต์ต้องสงสัย ทราบต่อมาว่า เป็นรถยนต์ของบุคคลใกล้ชิดกับผู้ต้องสงสัยรายนี้ เดินทางเข้ามาในพื้นที่จ.พิษณุโลก อีกด้วย โดยขณะนี้ทีมสืบสวนกำลังตรวจสอบความเป็นไปได้ ว่าจะมีการพาตัวผู้ต้องสงสัยหลบหนีออกมาจากพื้นที่ด้วยหรือไม่