ตำรวจปอศ.ทลายเครือข่ายลักลอบขายบุหรี่ปลอมผ่านออนไลน์ เผยนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ตรวจสอบพบมีผู้ร่วมขบวนการหลายรายยอดเงินหมุนเวียนในเครือข่ายมากกว่า 50 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ไกรวิศท์ แสนทวีสุข ผกก.1 บก.ปอศ. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายลักลอบจำหน่ายบุหรี่ปลอมของกลาง 83,154 ซอง มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหา 4 ราย แจ้งข้อหา “ร่วมกันจำหน่าย เสนอจำหน่าย หรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้ในราชอาณาจักร” และความผิดตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าฯ
พล.ต.ท.จิรภพ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจาก บก.ปอศ. ได้รับร้องเรียนว่ามีการลักลอบจำหน่ายบุรี่ปลอม ในพื้นที่ อ.สอยดาว จ.จันทบุรี โดยลักลอบจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค เนื่องจากบุหรี่ปลอม เป็นบุหรี่ที่ไม่มีการควบคุมคุณภาพการผลิต อาจมีการปนเปื้อนของสารเคมีตกค้าง จึงทำการสืบสวนจนทราบว่า ขบวนการดังกล่าวลักลอบนำบุหรี่ปลอมเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านบริเวณหน้าด่านบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี จากนั้นจะมีการนำบุหรี่ปลอมมาจำหน่ายผ่านช่องทางไลน์ และเฟซบุ๊ก เมื่อลูกค้าโอนเงินชำระค่าสินค้าให้กับเครือข่ายดังกล่าวแล้ว จะมีการจัดส่งบุหรี่ปลอมให้กับลูกค้าผ่านบริษัทขนส่งเอกชน จากการตรวจสอบพบว่าเครือข่ายดังกล่าวมีผู้ร่วมขบวนการจำนวนหลายราย และมีเงินหมุนเวียนในเครือข่ายมากกว่า 50 ล้านบาท
พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า กระทั่งนที่ 23 มีนาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอศ. จึงร่วมกับ เจ้าหน้าที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา และ หน่วยสืบสวนเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (HSI) นำกำลังลงพื้นที่ เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 4 จุด จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาและตรวจยึดของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ด้านพ.ต.อ.ไกรวิศท์ กล่าวว่า จุดสังเกตุระหว่างบุหรี่จริงและบุหรี่ปลอม ต้องอาศัยการตรวจสอบที่บาร์โค้ด รวมถึงราคาที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน นอกจากนี้ จะประสานไปยังกรมทรัพย์สินทางปัญญา ว่าบุหรี่ยี่ห้อใดที่มีการจดทะเบียนในไทยไว้บ้าง โดยสถานที่เป้าหมายที่พบของกลางปริมาณมากนั้นอยู่ใน อ.สอยดาว จ.จันทบุรี โดยเปิดเป็นสำนักงานขนส่งเอกชน และยังมีการนำของกลางไปซ่อนไว้ในป่าสวนลำไย ทั้งนี้ บริษัทขนส่งเอกชนดังกล่าว ไม่มีส่วนรู้เห็นการกระทำความผิดแต่อย่างใด