สมุทรปราการ-น้ำทะเลหนุนเป็นวันที่ 2 ตลาดสดหลายแห่งถูกน้ำท่วมขัง ชาวบ้านต้องเดินลุยน้ำเข้าไปซื้อของอยากทุลักทุเล แม่ค้าพ่อค้าเผยชินจนปรับตัวได้แล้ว

จากกรณีเกิดน้ำทะเลหนุนสูงกว่าปกติเมื่อช่วงสายวันที่ 8 พ.ย.ทำให้มวลน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจำนวนมากทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตลาดปากน้ำ ตลาดบางฆ้อง ตลาดท่าเรือวิบูลศรี ตลาดหัวเกาะ วัดมหาวงษ์ โรงเรียนคลองแสนสุข โรงเรียนนายเรือ รวมทั้งถนนสายหลักหลายสาย ทั้งถนนสุขุมวิท ถนนปู่เจ้าสมิงพราย ถนนสายลวด ถนนท้ายบ้าน มีปริมาณน้ำไหลทะลักเข้ามาท่วมสูงกว่า 50 เซนติเมตร เป็นผลพวงมาจากปริมาณน้ำทะเลหนุนสูงบวกกับน้ำเหนือที่ถูกปล่อยลงมาจึงทำให้มีปริมาณน้ำที่มากกว่าปกติ มวลน้ำได้ท่วมขังอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนที่จะลดลงสู่ภาวะปกติ 

เมื่อที่ 9 พ.ย. นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ลุยน้ำให้กำลังใจบรรดาพ่อค้าแม่ค้าภายในตลาดปากน้ำ และตลาดอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำทะเลหนุนสูงทำให้เกิดน้ำท่วมเป็นวันที่สองแล้ว โดยพบว่าในวันนี้ภายในตลาดปากน้ำมีปริมาณน้ำทะเลไหลทะลักเข้ามาท่วมสูงประมาณ 30-40 เซนติเมตร ทำให้พ่อค้าแม่ค้าต้องยกของขึ้นที่สูงเพื่อป้องกันข้าวของเสียหาย นอกจากนี้ชาวบ้านที่เข้าไปจับจ่ายในตลาด ต้องเดินลุยน้ำเข้าไปอยากทุลักทุเล

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ของเทศบาลนครสมุทรปราการ ได้นำกระสอบทรายมาเสริมคันกั้นน้ำให้สูงขึ้นจึง เพื่อป้องกันมวลน้ำที่จะทะลักเข้ามา จากการสำรวจเวลา 09.30 น.เป็นช่วงที่น้ำทะเลขึ้นสูงสุดในระดับ 1.56  เมตร ซึ่งต่ำกว่าระดับน้ำทะเลหนุนเมื่อวันที่ 8 พ.ย.จึงทำให้น้ำท่วมเฉพาะบริเวณตลาดเท่านั้น ก่อนที่น้ำจะเริ่มลดระดับลงและกลับเข้าสูสภาวะปกติ

นายอานนท์ ศิลป์ศร อายุ 54 ปี พ่อค้าขายผักในตลาดปากน้ำ กล่าวว่า ไม่ได้ตื่นกลัวอะไร เนื่องจากน้ำทะเลจะหนุนเป็นประจำทุกปีอแม่ค้าทุกคนปรับตัวกันได้แล้ว

ด้านนายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เปิดเผยว่า ปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุนเกิดขึ้นเป็นประจำ ชาวบ้านจึงปรับตัวได้จุดไหนที่หน่วยงานราชกาเข้าช่วยแก้ไขดูแลได้ก็เร่งต้องดำเนินการ เช่นในพื้นที่นี้มีการสร้างเขื่อนแต่น้ำมีระดับสูงกว่าเขื่อน ทำให้มีน้ำซึมเข้ามาตามรอยแยกและท่อ ถ้าแก้ไขในระยะยาวต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามเหตุที่น้ำมากกว่าปกติเมื่อวันที่ 8 พ.ย.เนื่องจากมีมวลน้ำ 3 อย่างมารวมกัน ทั้งน้ำเหนือ น้ำทะเลหนุน และน้ำฝนมาผสมกันจนทำให้ระดับสูงมากกว่าปกติ