องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมของจีนระบุประเทศได้รับประโยชน์จากแม่น้ำโขงมีหลายประเทศ จึงต้องได้รับความร่วมมือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจากประเทศพันธมิตร เพื่อให้เกิดความร่วมมืออันดีในการบริหารทรัพยากรในลุ่มแม่น้ำโขง อย่าอ่อนไหวต่อคำยุยงปลุกปั่นของหน่วยงานภายนอกที่ไม่
ดร.Ming Hua ผู้อำนวยการ Global Environment Institute (องค์กรเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม)ของจีน เปิดเผยว่า สรุปแล้วจีน “ปิดก๊อก” แม่น้ำโขงจริงมั้ย? ประการแรก การเปรียบเปรยว่า เขื่อนจีนเหมือน “ก๊อกน้ำ” นั้นไม่มีความเป็นวิทยาศาตร์ กล่าวคือ ปริมาณและกระแสน้ำมี่ไหลในแม่น้ำล้วนมาจากหลากหลายปัจจัย ไม่ใช่แต่เพียงเขื่อนเหนือต้นน้ำแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่ง”ปัจจัยสภาพอากาศ”(Climate Factor)ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีความสำคัญและส่งผลมากที่สุด โดย “ปริมาณน้ำฝน” และ “การระเหยของน้ำ” เป็นตัวแปรสำคัญในปัจจัยสภาพอากาศที่ส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มและลดของปริมาณน้ำในแม่น้ำ โดยมี “อุณหภูมิ”, “แรงลม”, “ความชื้น” เป็นตัวแปรส่งผลต่อปริมาณน้ำฝนและการระเหยของน้ำอีกทอดหนึ่ง
นอกจากนี้ “ปัจจัยการไหลเวียนของแม่น้ำ”(น้ำไหลและดูดซึมไปที่ไหนบ้าง) ก็เป็นอีกปัจจัยหลักที่สำคัญไม่แพ้ปัจจัยสภาพอากาศ โดยปัจจัยการไหลเวียนของแม่น้ำยังกูกกำหนดจาก “สภาพภูมิประเทศ” “คุณสมบัติของดินที่รองรับน้ำ” “ความเป็นเกาะแก่ง” “พืชปกคลุมรายทาง” ฯลฯ อย่างเช่น สภาพภูมิประเทศและคุณสมบัติของดินจะส่งผลต่อปริมาณน้ำที่โดนดูดซึม, การระเหย, และการกักเก็บน้ำในแต่ละพื้นที่ พืชที่ปกคลุมรายทางจะมีผลต่อการกักเก็บน้ำ, สภาพของน้ำและดินในแต่ละพื้นที่ เป็นต้น แน่นอนว่ากิจกรรมของมนุษย์เองก็ส่งผลต่อ “ความเร็วในการไหลเวียน” และ “การจัดสรรปริมาณน้ำในแต่ละพื้นที่” ด้วย ยกตัวอย่างเช่น “การสร้างเขื่อน” “การผันน้ำในอ่างเก็บน้ำ” หรือ “การสร้างฝนเทียม” จากทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าการเปรียบเปรย “เขื่อนจีน = ก๊อกน้ำ” ของ Stimson Center เป็นการตัดตัวแปรสำคัญอื่นๆแทบทุกตัวออกเหลือเพียงสมมติฐานที่ว่า “เขื่อนเป็นตัวแปรเดียวที่ควบคุมปริมาณน้ำใต้เขื่อน” ซึ่งถือเป็นแนวคิดที่มีอคติรุนแรงและเป็นการเปรียบเปรยที่ขาดความน่าเชื่อถือ
ประการที่สอง การวิเคราะห์ปริมาณน้ำใต้เขื่อนของแม่น้ำโขง ต้องอาศัยตัวแปรที่หลากหลายร่วมในการพิจารณา ประกอบด้วย“อัตราการได้รับน้ำเหนือเขื่อน” : AMPERES ได้กล่าวถึงในบทวิจารณ์บทความของ Stimson Center ว่าจากผลการศึกษาทางวิชาการตั้งแต่ปี 1960-1990 ในช่วงฤดูน้ำหลาก เขื่อนบนแม่น้ำหลานชางทั้ง 11 แห่งมีการผันน้ำให้แก่แม่น้ำโขงที่อยู่ใต้เขื่อนโดย ปริมาณน้ำที่มาจากเขื่อนต้นน้ำคิดเป็นเพียง 20% ของปริมาณน้ำทั้งหมดใต้เขื่อน (หมายความว่า น้ำใต้เขื่อน 100% มีน้ำที่มาจากแม่น้ำหลานชางเพียง 20% อีก 80% มาจากปัจจัยสภาพอากาศ, ปัจจัยการไหลเวียนของแม่น้ำ, กิจกรรมของมนุษย์) ซึ่งตัวเลข 20% ก็ไม่มีนัยสำคัญเพียงพอให้ EoE กล่าวสรุปในรายงานผลการศึกษาว่า – ภาวะภัยแล้งในฤดูน้ำหลากของแม่น้ำโขงปี 2019 มีสาเหตุหลักมาจากการกักน้ำของเขื่อนจีนบริเวณต้นน้ำ
“อัตราการได้รับน้ำใต้เขื่อน” : MRC จากที่เฝ้าสังเกตการณ์ข้อมูลเชิงสถิติต่างๆของแม่น้ำโขงมาหลายปี มีความเห็นว่า ปัจจัยที่มีผลมากที่สุดต่อปริมาณน้ำในแม่น้ำสายหลักและสายสาขาของแม่น้ำโขง คือ ปริมาณน้ำที่ไหลไปยังสายสาขาทางฝั่งตะวันออก 2 จุด ได้แก่ จุดที่หนึ่ง เวียงจันทร์(ลาว)-นครพนม(ไทย) และจุดที่สอง ปากเซ(ลาว)-สตรึงเตรง(กัมพูชา) [ตามภาพด้านล่าง]ซึ่งสายสาขาที่ไหลไป 2 จุดดังกล่าว คิดเป็นปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงทั้งหมด 40% ขึ้นไป ถือว่าปริมาณน้ำใน 2 จุดก็มากกว่าน้ำที่กักเก็บเหนือเขื่อนแล้ว ซึ่งก็หมายความว่า หากมีการสร้างเขื่อนตามรายทางของสายสาขาของแม่น้ำโขงเหล่านี้ ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณน้ำที่ไหลเวียนในแม่น้ำโขง และมีผลกระทบที่มากกว่าเขื่อนเหนือแม่น้ำโขงจากจีน ซึ่งภายใน 55 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่า ในลุ่มแม่น้ำโขงมีการวางแผงจะสร้างเขื่อนไว้ 150 แห่ง ซึ่งได้สำเร็จไปแล้ว 73 แห่ง จึงมีความเป็นไปได้ที่ “เขื่อนที่สร้างตามรายทางบนแม่น้ำโขง” เหล่านี้ เป็นตัวกำหนดปริมาณน้ำที่ไหลตามสายหลักและสายสาขาของแม่น้ำโขงประการที่สอง การวิเคราะห์ปริมาณน้ำใต้เขื่อนของแม่น้ำโขง ต้องอาศัยตัวแปรที่หลากหลายร่วมในการพิจารณา ประกอบด้วย
“ปริมาณน้ำฝนในพื้นที่” : ปริมาณน้ำฝนที่ตกในพื้นที่แม่น้ำโขงก็มีส่วนสำคัญต่อปริมาณน้ำในแม่น้ำเช่นกัน โดยส่งผลโดยตรงต่อปริมาณน้ำในแม่น้ำสายหลักและสายสาขา ทั้งนี้ MRC ได้วิเคราะห์ค่าปริมาณน้ำฝนที่ตกตามชายแดนของ ลาว-กัมพูชา ได้ผลว่า ปริมาณแม่น้ำโขงทางสายสาขาฝั่งตะวันออกมาจากปริมาณน้ำฝน 60% ขณะที่มาจากปริมาณน้ำเหนือเขื่อนจากแม่น้ำหลานชางเพียง 15%นอกจากนี้ จากผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องยังบ่งชี้ว่า ในช่วงฤดูน้ำหลากที่ผ่านมา ปริมาณน้ำฝนที่ตกตั้งแต่เหนือเวียงจันทร์(ลาว)ขึ้นไป เมื่อเทียบกับปริมาณน้ำฝนที่ตกใต้นครพนม(ไทย)ลงมา พบว่ามีปริมาณน้ำฝนส่วนเหนือมีน้อยกว่า จึงหมายความว่า ปริมาณน้ำเหนือเขื่อนย่อมน้อยกว่าปริมาณน้ำใต้เขื่อน ดังนั้นแนวคิดที่ว่า จีนเป็นผู้ “ปิดก๊อก” แม่น้ำโขงจึงไม่เป็นความเป็นจริง
ประการสุดท้าย ภัยแล้งของแม่น้ำโขงปี 2019 ไม่ได้มาจากการสร้างเขื่อนจีนเป็นต้นเหตุ โดย MRC ได้นำตัวเลข “ปริมาณน้ำฝน” และ “ปริมาณน้ำไหลเวียน” ของแม่น้ำโขงที่วัดค่าได้ช่วงปี 2008-2019 มาวิเคราะห์ ได้ข้อสรุปว่า สาเหตุสำคัญของวิกฤติการณ์ภัยแล้งครั้งนี้มาจาก 1. “ช่วงเวลาของลมมรสุมที่หดสั้นลง” ส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนลดลง และ 2. “ปรากฎการณ์เอลนินโญ่” ที่ส่งผลให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น เป็น 2 สาเหตุหลักของภัยแล้งปี 2019 ซึ่งโดยปกติ ฤดูน้ำหลากของแม่น้ำโขงจะเริ่มที่เดือน พฤษภาคม และสิ้นสุดในเดือน ตุลาคม ของทุกปี แต่ในปี 2019 ช่วงเวลาของลมมรสุมที่พัดผ่านหดสั้นกว่าปีที่ผ่านๆมาถึง 5 สัปดาห์ จึงทำให้ปริมาณน้ำฝนลดลงกว่าปกติ 25% จึงน่าผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ที่ Stimson Center ได้นำเสนอบทความทางวิชาการที่ไม่อิงอยู่บนหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่รอบด้าน แล้วยังแฝงแนวคิดที่มีอคติทางการเมืองระหว่างประเทศ ด้วยการกล่าวร้ายว่า จีนเป็นผู้ “ปิดก๊อก” แม่น้ำโขง ซึ่งแน่นอนว่ากระทบต่อความร่วมมือของจีนกับประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงอย่างไม่ต้องสงสัย
ในส่วนของความเห็นของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงต่อภัยแล้งปี 2019 ด้าน Cambodia Daily รายงานว่า ผู้นำสูงสุดของกัมพูชา สมเด็จฮุนเซ็น เคยให้สัมภาษณ์ทางสื่อ “วิกฤตการณ์น้ำแล้งของลุ่มแม่น้ำโขงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการสร้างเขื่อนเหนือแม่น้ำแต่อย่างใด โดยสาเหตุหลักของภัยแล้วมาจากปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนเป็นสำคัญ” ขณะที่ Lao Times ได้เคยรายงานไปในทิศทางเดียวกับ MRC เมื่อปี 2019 ช่วงภัยแล้งแม่น้ำโขงว่า “ไม่มีหลักฐานที่เพียงพอยืนยันว่าจีนเป็นผู้ก่อให้เกิดภัยแล้ง”
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
จากการที่แม่น้ำโขงไหลผ่านหลายประเทศ และเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์และสำคัญของประเทศในลุ่มแม่น้ำ โดยเฉพาะ ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม ฯลฯ ซึ่งการพัฒนาและบริหารทรัพยากรบนแม่น้ำโขงจำเป็นจะต้องได้รับความร่วมมือที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวจากประเทศผู้ได้รับประโยชน์เหล่านี้ หาใช้การคลางแคลงสงสัยระหว่างกันของประเทศพันธมิตร และต้องไม่อ่อนไหวต่อคำยุยงปลุกปั่นของหน่วยงานภายนอกที่ไม่หวังดี ดังนั้น เพื่อให้เกิดความร่วมมืออันดีต่อไปในการพัฒนาและบริหารทรัพยากรในลุ่มแม่น้ำโขง รวมทั้งหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นและความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นได้ในกลุ่มประเทศพันธมิตรหลานชาง-แม่โขง GEI มีความเห็นให้ใช้แนวทางต่อไปนี้ในการลดความขัดแย้งและผลักดันความร่วมมือ :
1.การศึกษาวิจัยทางวิชาการควรมีความรัดกุมทั้ง วิธีการศึกษาที่เลือกใช้ การพิจารณาปัจจัยที่รอบด้าน รวมทั้งพึงนำความเห็นของผู้ชำนาญการและการศึกษาเปรียบเทียบ(Comparative Study) มาประกอบการศึกษา เพื่อให้ได้ผลที่เป็นกลางและสะท้อนความเป็นจริง ไม่อุตริเผยแพร่ผลการศึกษาในกรณีที่หลักฐานอ้างอิงทางวิชาการมีน้ำหนักไม่เพียงพอ
2.พึงศึกษาปัญหาทางวิทยาศาตร์ให้อยู่เฉพาะในกรอบวิธีทางวิทยาศาตร์ เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาที่ศึกษาออกนอกลู่สู่ปัญหาการเมือง โดยเฉพาะข้อสันนิษฐานทางการเมืองที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มายืนยัน
3.เสริมความเข้มแข็งภายใต้โครงข่ายความร่วมมือในภูมิภาคที่มีอยู่ โดยมุ่งเน้นในส่วนของการแบ่งปันข้อมูลสารสนเทศและความเข้าใจที่ตรงกันในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดระหว่างกันที่อาจเกิดขึ้น
4.เสริมความร่วมมือระหว่างจีนกับประเทศลุ่มแม่น้ำโขงในด้าน การใช้งานทรัพยากรน้ำ, การบริหารและใช้งานโครงสร้างพื้นฐาน, การอนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางชีวภาพสองฟากฝั่ง โดยอยู่บนพื้นฐานของความร่วมมือที่เท่าเทียม และการพัฒนาที่ยั่งยืน
5.กรณีเกิดความขัดแย้งด้านการบริหารและใช้งานทรัพยากรน้ำภายใต้ความร่วมมือที่มีอยู่ระหว่างกลุ่มประเทศหลานชาง-แม่โขง ให้เชิญหน่วยงานอิสระที่สามารถประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมได้ มาเป็นบุคคลที่สามในการไกล่เกลี่ยปัญหา ด้วยมุมมองที่เป็นกลางและยุติธรรม