บุรีรัมย์-พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มอีก 4 ราย เร่งติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดกักตัวและเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง พร้อมคุมเข้มผู้เดินทางมาจากกทม.ให้กักตัวอยู่ที่บ้าน 14 วัน หากฝ่าฝืนลงโทษสูงสุด จำคุก 1 ปี
เมื่อวันที่ 23 มี.ค.นายธัชกร หัตถาธยากูล ผวจ.บุรีรัมย์ พร้อมด้วย นพ.วิทิต สฤษฎีชัยกุล นายแพทย์สาธารณสุขจ.บุรีรัมย์, นพ.รักเกียรติ ประสงค์ดี รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ รพ.บุรีรัมย์ และ พล.ต.ต.ชาญชัย พงษ์พิชิตกูล ผบก.จว.บุรีรัมย์ ร่วมกันแถลงสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จ.บุรีรัมย์ ภายหลังจากคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อระดับจังหวัดได้ประกาศ “ปิดเมืองด้วยมาตรการสาธารณสุข”
ทั้งนี้ เพื่อยกระดับการคัดกรองผู้เดินทางเข้า-ออก จังหวัดทุกช่องทางจากการออกมาตรการที่เข้มข้นโดยเฉพาะผู้ที่จะเดินทางเข้ามาในจังหวัดทุกคน จะต้องลงทะเบียนผ่านระบบแอพพลิเคชั่น Buriram Healthy Passport เพื่อแจ้งข้อมูลสุขภาพและการเดินทางเข้าออกจังหวัด ตามประกาศของคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อ จ.บุรีรัมย์
ล่าสุด ได้รับรายงานจากสำนักงานธารณสุขจ.บุรีรัมย์ว่า มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์เฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 83 ราย ไม่พบเชื้อ 79 ราย และในวันที่ 23 มี.ค.ได้รับรายงานว่า พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มอีก 4 รายคือ 1.ผู้ป่วยเพศชาย อายุ 69 ปี (ชาวต่างชาติ)ปัจจัยเสี่ยงไปหาพี่ชายที่กทม.เมื่อวันที่ 6-9 มี.ค.2563 (พี่ชายมีประวัติเดินทางมาจากอเมริกา เปลี่ยนอยู่ฮ่องกง)
2. ผู้ป่วย เพศหญิง อายุ 34 ปี ปัจจัยเสี่ยง เป็นพนักงานเสิร์ฟ มีสามีชาวตุรกีเพิ่งเดินทางกลับมาไทย และพากันไปเที่ยวผับแห่งหนึ่งในกทม. 3. ผู้ป่วย เพศหญิง อายุ 33 ปี ปัจจัยเสี่ยง เป็นพนักงานเสิร์ฟในผับที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ (ส่วนมากเป็นชาวญี่ปุ่น) 4. ผู้ป่วย เพศหญิง อายุ 33 ปี ปัจจัยเสี่ยง อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค
อย่างไรก็ตาม สำนักงานสาธารณสุขจ.บุรีรัมย์ ได้ดำเนินการค้นหาผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยัน และให้เฝ้าสังเกตอาการและเก็บตัวอย่างในกลุ่มเสี่ยงสูงทุกราย และกักกันกลุ่มเสี่ยงต่ำให้อยู่ที่บ้าน ติดตามวัดอุณหภูมิ ตามกระบวนการติดตามผู้สัมผัส รวมทั้งมีการจัดการเพื่อป้องกันการติดเชื้อเป็นอย่างดี
นอกจากนั้น คณะกรรมการโรคติดต่อ จ.บุรีรัมย์ ได้มีคำสั่งให้ปิดห้างสรรพสินค้า เว้นแต่ซุปเปอร์มาเก็ต ร้านขายยา หรือสินค้าเบ็ตเตล็ดที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต รวมถึงกักตัวผู้เดินทางมาจากทม.ให้อยู่ที่บ้านเป็นเวลา 14 วัน หากฝ่าฝืนจะลงโทษสูงสุดจำคุก 1 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
