THAI NEWS

โดย กองบรรณาธิการ M2F

29 สิงหาคม 2562 : 20:43 น.

กรมศิลปากรเร่งลอกสีตามวัดและโบราณสถานใน จ.สุพรรณบุรี​ใครมาทำให้ประติมากรรม และโบราณสถานเปลี่ยนสภาพ จะมีโทษทางอาญา

โดย สมาน สุดโต

จากการที่กลุ่มชาวพุทธผู้หวังดีกลุ่มหนึ่งนำสีทองทาประติมากรรม​ ใบเสมาหินทราย​ กำแพงโบสถ์​วิหาร​ ตลอดถึงซุ้มประตู​ ตามวัดต่างๆ จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ ทางสื่อและทางโซเชี่ยลมีเดีย ตั้งแต่​ พ.​ศ.​2560 เรื่อยมา​ ซึ่งกรมศิลป์ได้สำรวจพบว่ามีมากถึง​ 30 วัด ทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะจ.สุพรรณบุรี จังหวัดเดียวมีถึง 9 วัด

ด้วยตระหนักถึงความสำคัญทางด้านอนุรักษ์ กรมศิลปากร จึงต้องลงทั้งทุน และแรงงาน ลอกสีทองในวัดที่สำคัญๆ ในจ.สุพรรณบุรี 3​ วัด​ จาก​ 9​ วัด​ เพราะถ้าปล่อยไปจะเกิดความเสียหาย​อย่างหนัก โดยเบื้องต้นใช้งบประมาณ​ 9​ แสนบาท​ จัดจ้างบริษัทเพื่อลอกสีทองบางส่วนออก เพื่อคืนความดั้งเดิม​แห่งประติมากรรม​ให้แก่วัด เพื่อให้สาธารณชนได้ทราบผลงานการทำงานร่วมกันระหว่างกรมศิลป์ วัด​ ชุมชน​ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง​เพื่อการอนุรักษ์

นายอรุณศักดิ์​ กิ่งมณี​ รองอธิบดี​กรมศิลปากร​ และ น.ส.อัจฉรา​ แข็งสาริกิจ​ ผู้อำนวยการสำนัก​ศิลปากรที่​ 2 จ.สุพรรณบุรี​ จึงนำคณะสื่อมวลชน​จากส่วนกลาง​ไปสังเกตการณ์ความก้าวหน้าในการอนุรักษ์​โบราณสถาน​ และประติมากรรม​ให้กลับสู่สภาพ​เดิมที่จ.สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2562​

วัดแรกที่กรมศิลป์นำไปดูการอนุรักษ์​ได้แก่วัดโพธาราม​ ต.จรเข้สามพัน​ อ.อู่ทอง​ ​จ.สุพรรณบุรี​ ผู้หวังดีทาสีทองซุ้มประตูของอุโบสถเก่าทั้ง ​ 2 ด้าน ในขณะที่อาคารอุโบสถ์ก็ถูกลงสีทองทั้งหลัง รวมถึงใบเสมาหินทราย​ ศิลปะช่วงอยุธยาตอนปลาย​

เจ้าหน้าที่ฝ่ายอนุรักษ์ชี้ปัญหาจากสีทองที่ทาว่า เป็นสีผสมเรซิน ​ทนความร้อน​ ไม่ยอมให้น้ำ​หรือความชื้นซึมผ่าน​ ทำเกิดความเสียหายต่อประติมากรรมมาก จึงได้ลอกทองซุ้มประตูทั้ง 2 และใบเสมาหินทรายออกทั้งหมด โดยชุมชน และพระสงฆ์ในวัดเข้าใจและให้ความร่วมมือดียิ่ง ส่วนที่เหลือ เช่น กำแพง และผนังด้านในอุโบสถคงต้องใช้เวลาในปีต่อไป

วัดไชนาวาส ต.​ท่าพี่เลี้ยง​ อ.เมือง​ จ.สุพรรณบุรี​ เป็นวัดที่ 2 ที่คณะผู้หวังดี​นำสีทองทองทาใบเสมาคู่ ที่สร้างจากหินทราย​ ศิลปะสมัยอยุธยา​ตอนปลาย และวิหารน้อยทั้งหลัง เมื่อลอกสีทองใบเสมาโบราณออก พบว่า ทางวัดเคยทาสีทองไว้เมื่อ ​32 ปีที่แล้ว จึงลอกออกได้ไม่หมด เพราะมีสีรองพื้น​ด้วย​ คงลอกออกได้แต่สีทองที่ทาใหม่​ ทางคณะผู้หวังดี ยังทาสีทองพระพุทธรูป​ 8​ องค์​ รอบวิหารน้อยในวัดไชนาวาส​ โดยเขียนชื่อคณะผู้อุปถัมภ์ไว้ที่ฐานพระพุทธรูปด้วย

เจ้าหน้าที่กรมศิลป์ บอกว่า สีทองที่ทาเป็นสีอะคลีลิก สูตรน้ำ ผลิตจากอะคลิลิกเรซิน​ 100% เนื้อสีมีความเหนียว​ ทนต่อาภาพภูมิอากาศ​ ปิดกั้นการระเหยของความชื้น​ลักษณสี มีความเรียบเนียน

วัดที่ 3 ที่กรมศิลปากรพาคณะสื่อมวลชนไปดูได้แก่ วัดลาวทอง ต.สนามชัย อ.เมืองสุพรรณบุรี โดยมีแม่น้ำสุพรรณบุรี ไหลผ่าน ท่านผู้หวังดีทาสีทองหลวงพ่อดำ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่ อายุ 800 ปี ที่เป็นพระประธานในอุโบสถเก่าทั้งองค์ พร้อมทั้งแต่งผนังด้านหลังพระประธานด้วยการทาสีทองเป็นรูปวงกลม มองดูหมือนพระจันทร์เต็มดวง ดูงามดี

แต่ความเสีย​หายที่เกิดจากสีทอง ที่องค์พระพุทธรูป หรือหลวงพ่อดำ คือสีเหนียวแน่น ความชื้นซึมไม่ได้ ลอกออกได้เป็นแผ่นๆ หากทิ้งไว้ ผิวหลวงพ่อดำ จะกระเทาะเป็นจุดๆ กรมศิลป์จึงลอกออกทั้งองค์ คืนหลวงพ่อดำ​ พระศักดิ์สิทธิ์อายุ​ 800​ ปีให้แก่คณะสงฆ์และชาวบ้านวัดลาวทอง​เรียบร้อย​แล้ว

ความเสียหายที่เกิดจากทาสีทองเห็นชัดเจนอีกจุดหนึ่งคือ ใบเสมาหินทราย อุโบสถเก่าของวัดลาวทอง เมื่อลอกสีทองออก พบว่า หินทรายใบเสมาที่หน้าอุโบสถ เปื่อย​ยุ่ย​เป็นผง ทั้งนี้สีที่ทาเป็นวัสดุสงเคราะห์ มีลักษณะเหนียว ความชื้นระเหยไม่ได้

น.ส.อัจฉรา​ แข็งสารีกิจ​ ผู้อำนวยการ สำนักศิลปากรที่​ 2​ สุพรรณบุรี​ กล่าวว่า จะลอกทองออกหมดทั้ง 3 วัด น่าจะเป็น​ ​พ.ศ.​2563 และจากการเกิดปัญหานี้​ สำนักศิลปากรที่ 2 จึงนิมนต์พระสังฆาธิการจากวัดต่าง​ๆ 5​ จังหวัด มาประชุมเพื่อถวายความรู้​ด้านอนุรักษ์ ปรากฏว่า พระสังฆาธิการเข้าประชุมล้นหลามพร้อมทั้งบอกทิ้งท้ายให้เป็นการบ้านพระสังฆาธิการไปด้วยว่า ใครมาทำให้ประติมากรรม และโบราณสถานเปลี่ยนสภาพ จะมีโทษทางอาญา ซึ่งตัวอย่างมีให้เห็นที่เจ้าอาวาสวัดหลวงแห่งหนึ่งในกทม.ถูกศาลตัดสินลงโทษไปแล้ว

ข่าวเด่น

ข่าวที่น่าสนใจ