สุรินทร์-เมืองช้างแล้งเข้าขั้นวิกฤต ฝูงนกกระสาจำนวนมากอพยพหากินก้นอ่างเก็บน้ำห้วยเสนงที่แห้งขอดในรอบ 41 ปีอย่างไม่เคยเจอมาก่อน กระทบต่อแหล่งผลิตน้ำประปา โลกโซเชียลเริ่มโวยผู้ว่าฯสุรินทร์

เมื่อวันที่ 14 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานถึงสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ จ.สุรินทร์ ขณะนี้พบว่ารุนแรงและขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง ฝนที่ทิ้งช่วงมาร่วม 2 เดือน ส่งผลให้ต้นกล้าข้าวเริ่มทยอยเหี่ยวเฉายืนต้นตายกันทุกพื้นที่ แม้ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้นำเครื่องบินกรมฝนหลวงและการบินเกษตร มาบินโปรยสารเคมีเพื่อทำฝนเทียมอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังพบว่ามีฝนตกลงมาไม่มากเท่าที่ควร

ขณะที่ อ่างเก้บน้ำห้วยเสนง ต.เฉนียง อ.เมือง ถึงขั้นวิกฤติหนัก น้ำแห้งลง ลดระดับลงมากที่สุดในรอบ 41 ปี ตั้งแต่มีการสร้างและเปิดใช้อ่างเก็บน้ำขึ้นมา และเป็นอ่างเก็บน้ำหัวใจหลักของคนเมืองสุรินทร์ ที่จะต้องใช้เป็นแหล่งน้ำดิบในการผลิตน้ำประปาถึงเดือนละ 1 ล้าน ลบ.ม.แต่ขณะนี้พบว่า ประมาณน้ำลดลงเหลือเพียงไม่ถึง 2 ล้าน ลบ.และจะสามารถใช้น้ำได้อีกประมาณไม่เกิน 2 เดือนข้างหน้าเท่านั้น จากความจุอ่างทั้งหมด 20.8 ล้าน ลบ.ม. อ่างเก็บน้ำที่แห้งขอดดังกล่าว ส่งผลให้มีฝูงนกกระสาจำนวนมาก ต่างพากันอพยพ ชบินเข้ามาหากินสัตว์น้ำตามแหล่งน้ำที่แห้งขอดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนอีกด้วย

ทั้งนี้ สถานการณ์น้ำที่ใกล้วิกฤติหนักดังกล่าว ส่งผลให้การประปาส่วนภูมิภาค สาขาสุรินทร์ จำเป็นต้องออกประกาศให้ประชาชนสำรองน้ำไว้และใช้น้ำอย่างประหยัด โดยจะมีการลดแรงดันน้ำลง จะส่งผลกระทบให้น้ำไหลอ่อนและไม่ไหลในบางช่วงเวลา

อย่างไรก็ตาม กระแสในโลกโซเชี่ยลเริ่มตื่นตัวถึงสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำห้วยเสนงเริ่มแห้ง และเริ่มหวั่นวิตกเกรงจะมีน้ำไม่เพียงพอต่อการผลิตน้ำประปาเลี้ยงคนเมือง เริ่มมีการแชร์ข้อมูลข่าวสารตามเพจต่างๆ และวิพากวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ขณะเดียวกันก็ยังมีกระแสวิพากวิจารณ์ไปถึงนายประภัสสร์ มาลากาญจน์ ผวจ.สุรินทร์ ที่พึ่งย้ายมารับตำแหน่งได้ประมาณ 1 ปีที่ไม่พบว่ามีข่าวออกมาตรการช่วยแก้ปัญหาวิกฤติภัยแล้ง เหมือนผู้ว่าจังหวัดอื่นๆ สวนทางกับสโลแกนที่ระบุไว้ว่า "คิดไม่ออกบอกผู้ว่าประภัสสร์”