โชเฟอร์แท็กซี่เก็บเงินกว่า 3 แสนบาท คืนอดีตตำรวจสหรัฐฯ หลังผู้โดยสารลืมไว้หลังใช้บริการ
เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2561 ได้รับรายงานว่าเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา พ.ต.อ.วิโรจน์ ตัดโส ผกก.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฎิบัติ การพิเศษท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมเป็นสักขีพยานในการส่งมอบเงินสกุล ดอลล่าสหรัฐฯ จำนวน 9,800 ดอลล่าสหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 310,000 บาท ให้กับ Mr. Jerry Allen Hart อายุ 74 ปี อดีตข้าราชการตำรวจสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินเงินสดดังกล่าว จาก นายวีระพล กล่ำศิริ อายุ 57 ปี คนขับรถแท็กซี่น้ำใจงาม หลังจากที่ Mr. Jerry Allen Hart ที่ได้ว่าจ้างให้มาส่งที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อช่วงเช้าของวันนี้และทำกระเป๋าใส่เงินจำนวนดังกล่าวตกไว้ที่พื้นเบาะนั่งด้านหลังคนขับ จนกระทั่งนายวีระพล คนขับรถแท็กซี่มาพบ ก่อนโทรแจ้ง จส.100 เพื่อติดตามหาเจ้าของเงินจำนวนดังกล่าว
พร้อมทั้งเข้าแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สนามบินดอนเมืองเพื่อให้ช่วยติดตามเจ้าของ จนกระทั่งในช่วงเย็นได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการพิเศษท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ว่ามีผู้เสียหายมาแจ้งว่าทำกระเป๋าใส่เงินจำนวนดังกล่าวหายขณะเดินทางมาที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตนจึงรีบขับรถนำกระเป๋าใส่เงินจำนวนดังกล่าวมาส่งมอบคืนให้เจ้าของทรัพย์ทันที ท่ามกลางความปราบปลื้มใจของ Mr. Jerry Allen Hart ซึ่งเป็นเจ้าของเงินเป็นอย่างมาก พร้อมมอบเงินสินน้ำใจให้จำนวนหนึ่ง
นายวีระพล คนขับรถแท็กซี่ประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุขว่า ขับรถแท็กซี่มากว่า 16 ปี และเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ที่ 4 ธ.ค. ตนรับผู้โดยสารชาวต่างชาติมาส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ และรับผู้โดยสารรายอื่นไปส่งในกรุงเทพมหานคร ก่อนจอดรถทำความสะอาดได้สังเกตเห็นถุงผ้าสีขาวสภาพเก่าขนาดเล็กตกอยู่ที่พักเท้าด้านหลังของคนขับ ตอนแรกก็ไม่ได้เอะใจ จึงหยิบขึ้นมาดู ถึงกับตกใจพบว่าภายในมีเงินสดต่างประเทศมัดรวมกันอยู่ปึกใหญ่และเขียนที่เงินไว้จำนวน 9,800 ดอลล่าสหรัฐ
ทางด้าน Mr. Jerry Allen Hart เจ้าของเงินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า ต้องขอบคุณคนขับรถคันนี้อย่างมากที่นำเงินมาคืนให้ ซึ่งในตอนนั้นไม่ได้คาดหวังว่าจะได้คืน จนกระทั่งมาทราบข่าวดี ซึ่งตนเองมีความสุขมาก และประทับใจกับความมีน้ำใจของคนไทยเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะเดินทางมายังเมืองไทยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 แล้วก็ตาม ซึ่งตนเคยมีความคิดว่าอยากมาใช้ชีวิตในบั้นปลายชีวิตที่เมืองไทยเพราะที่ผ่านมาคนไทยเป็นคนสุภาพ และมีแต่รอยยิ้ม แต่ก็ยังมีลังเลอยู่บ้างจนมาเจอเรื่องราวความประทับใจในครั้งนี้ตนจึงไม่เปลี่ยนใจที่จะมาใช้ชีวิตในยามบั้นปลายที่เมืองไทยแน่นอน