สมุทรปราการ-ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมขึ้นโรงพักสภ.พระประแดงให้ปากคำพนักงานสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ในคดีร้องทุกข์กล่าวโทษแซนให้การเท็จคดีแตงโม
เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางมาที่ สภ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ เพื่อเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1ในคดีที่ได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ นายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือแซน ข้อหาให้การเท็จก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้ไปแจ้งความต่อกองบังคับการปราบปรามไว้แล้ว และสำนวนได้โอนมาที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า มาให้การกับพนักงานสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ไม่ได้คาดหวังในชั้นตำรวจ เพราะไม่เชื่อมั่น แต่มาทำตามขั้นตอนให้สมบูรณ์ เพื่อคานอำนาจในส่วนคดีหลัก แต่ตัวเองจะไม่ให้หลักฐานกับตำรวจทั้งหมด จะแค่ให้ปากคำและยื่นหลักฐานเป็นเพียงซีดี 1 แผ่น ที่ระบุให้เห็นว่าแซน มีการให้การเท็จจริงเท่านั้น คือ คลิปที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า ”คลิปที่เห็นเงาไม่ใช่คลิปตอนตกเรือ”ส่วนหลักฐานอื่น ๆ ที่มีนั้นเปลี่ยนแผนจะไม่ยื่นให้ในชั้นตำรวจแล้ว เพราะไม่หวังกับตำรวจภาค 1 เชื่อว่ายื่นไปตำรวจก็จะอ้างว่าส่งสำนวนคดีหลักให้อัยการแล้ว ไม่สามารถกลับคำให้การได้ มีธงตั้งไว้อยู่แล้ว ถ้าหากตัวเองเปิดไพ่โชว์หลักฐานทั้งหมดไป อีกฝ่ายก็จะรู้ทันหมด โดยจะเปลี่ยนแผนเก็บหลักฐานไว้นำไปยื่นขอความเป็นธรรมในชั้นอัยการแทน หากอัยการสั่งไม่ฟ้องแซน ในคดีให้การเท็จ
ทั้งนี้ ส่วนที่สำคัญที่สุดตอนนี้ คือ จะนำหลักฐานทั้งหมดที่มีไปยื่นต่อดีเอสไอ มีนัดสอบปากคำ วันที่ 18 พ.ค. โดยมีความเห็นทั้งจากผู้เชี่ยวชาญและพยานประกอบถึง 12 ปาก อาทิ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนะสุนันท์ อดีต ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ที่พิสูจน์แล้วว่าบาดแผลที่ต้นขาขวาใกล้เคียงกับใบมีด นายเอกพันธ์ บันลือฤทธิ์ เรื่องทรายในกำมือ อีกทั้งยังมีภาพจากกล้องวงจรปิดว่าคนบนเรือไปจอดเรือแวะที่ท่าจอดเรือทราย และมีการถอดรองเท้าเคาะทราย ซึ่งภาพวงจรปิดเป็นมุมเดิมแต่ตัวเองนำไปเข้าโปรแกรมที่ซื้อจากอเมริกา ทำให้เห็นอย่างชัดเจน และยังมีคลิปที่พยานในคืนเกิดเหตุถ่ายเอาไว้ได้ด้วย ทั้งนี้ยังมีประเด็น เรื่องสารในร่างกายแตงโมที่พบสารชนิดเดียวกันกับคนบนเรือที่เป็นยานอนหลับ ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นยาที่หมอสั่งจ่ายหรือถูกมอม
นายอัจฉริยะ ย้ำด้วยว่า คดีที่ไปยื่นดีเอสไอ เป็นคนละคดีกับที่ตำรวจภูธรภาค 1 ทำ ไม่ใช่คดีประมาท โดยคดีของ น.ส.สุภาภรณ์ นิปวณิชย์ หรือ อัยการดาว ตัวเองไม่มีสิทธิ์ไปก้าวล่วง ดังนั้นคนที่ไม่เข้าใจก็จะมาพูดว่าสิ่งที่ทำเปลี่ยนสำนวนคดีไม่ได้ แต่ที่ตัวเองไปยื่น คือ การเปิดสำนวนคดีใหม่ให้เป็นคดีพิเศษ หวังว่า จะผ่านชั้นคณะอนุกรรมการ รับเป็นคดีพิเศษได้ และยืนยันด้วยว่า ตัวเองมีอำนาจตามกฎหมายในฐานะประชาชนเป็นผู้เสียหายไปร้องทุกข์ต่อดีเอสไอเพราะเป็นคดีอาญาแผ่นดิน