แพทย์เตือนผู้ป่วยโควิดไม่มีอาการไม่ต้องรับประทานยาฟาวิพิราเวียร์เสี่ยงทำให้ตับไตพังหากใช้ไม่ถูกวิธี ย้ำต้องฟังคำแนะนำแพทย์ และอย่าใช้ยาฟ้าทะลายโจรร่วมกับยาต้านไวรัส
เมื่อวันที่ 29 มีนาคม นพ.มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุช (สธ.) ชี้แจงถึงแนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลกรณีโรคติดเชื้อโควิด-19 ว่า ขณะนี้พบว่าเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนแพร่และติดได้ง่าย แต่ไม่เกิดอาการรุนแรง จึงต้องปรับแนวทางให้สอดคล้อง โดยการปรับแนวทางล่าสุด มีประเด็นสำคัญในกลุ่มที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อย และข้อบ่งชี้ในการใช้ยาต้านไวรัสที่มีการพัฒนา ดังนี้
1.กลุ่มที่ไม่มีอาการหรือสบายดี จะรักษาแบบผู้ป่วยนอก หรือการแยกกักตัวที่บ้าน หรือสถานที่รัฐจัดให้ตามความเหมาะสม ให้ดูแลรักษาตามอาการตามดุลยพินิจของแพทย์ ไม่ต้องให้ยาต้านไวรัส เช่น ฟาวิพิราเวียร์ เนื่องจากส่วนมากหายได้เอง อาจพิจารณาให้ยาฟ้าทะลายโจรตามดุลยพินิจของแพทย์ ที่สำคัญ ไม่ให้ยาฟ้าทะลายโจรร่วมกับยาต้านไวรัส เนื่องจากอาจมีผลข้างเคียงจากยา
2.ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง/โรคร่วมสำคัญและภาพถ่ายรังสีปอดปกติ อาจพิจารณาให้ยาฟาวิพิราเวียร์ โดยเริ่มให้ยาเร็วที่สุด คือ ไม่เกิน 5 วัน หากตรวจพบเชื้อเมื่อผู้ป่วยมีอาการมาแล้วเกิน 5 วัน และผู้ป่วยไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยอาจไม่จำเป็นต้องให้ยาต้านไวรัส เพราะผู้ป่วยจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ทั้งนี้ บุคลากรทางการแพทย์ ต้องขอให้เน้นย้ำเรื่องการให้ยา โดยการให้ยาฟาวิพิราเวียร์ มีข้อควรระวังในหญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะไตรมาสแรก เพราะอาจมีผลกระทบต่อการพัฒนาการทารกในครรภ์ ในกลุ่มมีปัญหาเรื่องตับ ยาฟาวิพิราเวียร์มีผลได้ และยังมีผลต่อการระคายเคืองทางเดินอาหาร รวมถึงยาฟาวิพิราเวียร์ยังทำให้กรดยูริกสูงขึ้น คนไข้ที่มีปัญหากรดยูริก จะทำให้ตับ ไต มีผลเสีย ตัวยูริกในร่างกายสูงขึ้น จึงขอย้ำเน้นประชาชนต้องพิจารณาตรงนี้ด้วย ซึ่งทั้งหมดเป็นแนวทางเวชปฏิบัติฯที่ออกมา
ด้าน นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัด สธ. กล่าวว่า สธ.มียาเตรียมพร้อมดูแลรักษาผู้ป่วยทุกคน ที่มีความจำเป็นต้องได้รับยา เพราะไม่ใช่ทุกรายต้องได้รับยา โดยแพทย์จะวินิจฉัยและพิจารณาตามอาการ ขอฝากให้ทุกคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (บูสเตอร์ โดส) เข็มที่ 3 ขอให้ไปฉีด เนื่องจากการฉีดวัคซีนจะกระตุ้นภูมิคุ้มกันมาสู้กับเชื้อได้หากอาการไม่รุนแรง ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ตัววัคซีนจะไปกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และกำจัดเชื้อได้ภายใน 5 วัน เมื่อครบ 5 วันให้ตรวจ ATK อีกครั้ง หากเป็นผลลบ แสดงว่าร่างกายที่ได้รับวัคซีนขจัดเชื้อได้แล้ว
"เรามียาหลายตัว ทั้งฟ้าทะลายโจร ยาฟาวิพิราเวียร์ ยาโมลนูพิราเวียร์ รวมถึงยาฉีดอย่างแพกซ์โลวิด ที่มีการลงนามในสัญญาแล้ว แต่สิ่งสำคัญขอให้มีการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลเป็นดีที่สุด เพราะยาบางตัวก็ทำลายตับ ไตได้ แม้แต่ยาพาราเซตามอล หากกินมาก กินผิดวิธีก็ส่งผลต่อตับ ทำตับล้มเหลวได้เช่นกัน" นพ.ธงชัย กล่าว