“บริษัท เจพี ประกันภัย จำกัด (มหาชน)” รีแบรนด์ครั้งใหญ่ เป็น “บริษัท เจมาร์ท ประกันภัย จำกัด (มหาชน)”ชูกลยุทธ์ Synergy ขยายบริการลูกค้าครอบคลุมทั่วไทยเสริมความแกร่ง ตั้งเป้าขึ้นแท่นผู้นำ InsurTech
นางสาววราภรณ์ พรพิทักษ์โยธิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท ประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การดำเนินงานที่ผ่านมาของ บริษัท เจพี ประกันภัย จำกัด (มหาชน) มีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่อยู่ภายใต้ เจมาร์ท กรุ๊ป และเพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตของธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย ตลอดจนเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจของบริษัทฯ และเชื่อมโยงการดำเนินงานให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน บริษัทฯ จึงได้มีการรีแบรนด์และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เจมาร์ท ประกันภัย จำกัด (มหาชน) อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา ภายใต้สโลแกนใหม่คือ “ประกันภัยล้ำล้ำในเครือเจมาร์ท” โดยลูกค้าที่ถือกรมธรรม์ภายใต้ชื่อเดิม จะยังคงได้รับความคุ้มครองตามข้อกำหนดและเงื่อนไขในกรมธรรม์ที่ลูกค้าได้ทำประกันไว้ ซึ่งบริษัทฯ ได้นำส่งจดหมายแจ้งการเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทให้กับผู้เอาประกันภัยทุกท่านที่ทำประกันกับเราไว้เรียบร้อยแล้ว
“เพื่อให้สื่อถึงการเป็นบริษัทในเครือของ เจมาร์ท กรุ๊ป โลโก้ใหม่ของ เจมาร์ท อินชัวร์ จึงใช้สัญลักษณ์สามเหลี่ยม ซึ่งสื่อถึงการขับเคลื่อนแบรนด์อย่างไม่สิ้นสุด ในลักษณะ Lifestyle Shop ที่มีความสนุกสนานในการใช้ชีวิตของผู้บริโภค “Just Enjoy” ส่งมอบความสะดวกสบายให้ลูกค้าในทุกขั้นตอนการบริการ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดี พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการให้เข้าถึง Lifestyle ของผู้บริโภค โดยโทนสีแดงของโลโก้ ถือเป็น DNA ของ เจมาร์ท กรุ๊ป ที่แสดงถึงจิตวิญญาณแห่งความเป็นมิตร อีกทั้งยังสื่อถึงความมีพลัง โดดเด่น และเป็นมืออาชีพอีกด้วย”
นางสาววราภรณ์ กล่าวต่อว่า การรีแบรนด์ในครั้งนี้จะส่งผลให้ เจมาร์ท อินชัวร์ ก้าวสู่การเป็นผู้นำ InsurTech ได้อย่างมั่นคงและสมบูรณ์แบบ ด้วยฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง รวมกว่า 697 ล้านบาท และด้วยศักยภาพของบริษัทในเครือหรือกลุ่ม Synergy ที่มีสาขาต่างจังหวัดทั่วประเทศ ทำให้เข้าใจความแตกต่างของความต้องการในแต่ละกลุ่มลูกค้า บริษัทฯ จึงมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ตามแต่ละฤดูกาล หรือแต่ละท้องถิ่น และทันต่อสถานการณ์ที่เหมาะสมในปัจจุบัน โดยทุกผลิตภัณฑ์จะเน้นความโปร่งใส เข้าใจง่าย และไม่ซับซ้อน เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าจะได้รับความคุ้มครองจาก เจมาร์ทอินชัวร์ ตามสัญญาประกันภัยอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวัน โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าบุคคล (Personal Line Insurance) และกลุ่มลูกค้าองค์กรธุรกิจ เพิ่มมากขึ้น
“ปัจจุบัน บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับ ณ เดือน ก.ค. 64 อยู่ที่ 182.78 ล้านบาท โดยมีการปรับสัดส่วนการรับประกันภัยและขยายตลาดการประกันภัยทั่วไปเพิ่มขึ้น ทำให้เบี้ยประกันภัยของบริษัทมีการเติบโตขึ้นจากการรับประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินที่อัตรา 78% และประกันภัยอุบัติเหตุทั้งแบบกลุ่มและส่วนบุคคลก็เติบโตขึ้นจาก ปีก่อนมากกว่า 100% ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการขยายพอร์ตงานประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการดำเนินงานในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ว่าจะสามารถปรับสัดส่วนการขยายพอร์ตในกลุ่มงานประกันภัย ที่ไม่ใช่รถยนต์ (Non-Motor Insurance) และประกันภัยรถยนต์ (Motor Insurance) ให้อยู่ในสัดส่วน 50:50 จาก ปัจจุบันที่มีสัดส่วนอยู่ที่อยู่ที่ 70:30 เพื่อสร้างการเติบโตด้านความหลากหลายของผลิตภัณฑ์”
ทั้งนี้ เจมาร์ทอินชัวร์ มีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มมากขึ้น โดยจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามกลุ่มลูกค้า เช่น ตามช่วงอายุ อาชีพ ฯลฯ ทั้งประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA Series) ที่รวบรวมแพ็คเกจความคุ้มครองตั้งแต่วัยใส วัยทำงาน กลุ่มครอบครัว จนถึงรุ่นใหญ่, ประกันสำหรับเด็กอย่างแพ็คเกจ BABY Smile รวมความคุ้มครองไม่ว่าจะเป็นโรคไข้หวัด โรคมือ เท้า ปาก หรือตาแดง, แพ็คเกจประกันภัยโรคจากยุง ที่คัดสรรให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ที่เสี่ยงต่อโรค, ประกันภัยโควิด-19 และแพ้วัคซีนโควิด-19, ประกันภัยรถยนต์ 2+ 3+ ที่คุ้มครองภัยน้ำท่วม มีทั้งรายเดือน และรายปี รวมถึงประกันภัยประเภท 1 จี๊ดจ๊าด ที่เบี้ยเริ่มต้นไม่ถึงหนึ่งหมื่นบาท
“โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญในการสื่อสารกับทุกกลุ่มลูกค้า จึงได้นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมสร้าง Customer Experience เพื่อการบริการลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ Touch Point ไม่ว่าจะเป็น ช่องทางเว็บไซต์ขายประกันภัยออนไลน์อย่าง Jaymart Connect ช่องทาง LINE Chatbot : @Jaymartsmartinsure และในปีนี้เราได้มีการพัฒนาระบบการขายประกันออนไลน์ผ่านทาง www.jaymartinsurance.co.th ด้วยขั้นตอนการทำรายการซื้อประกันที่ง่ายและสะดวกรวดเร็ว รวมทั้งพัฒนาระบบการขายประกันให้กับนายหน้าคู่สัญญาของบริษัทฯ ให้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น” นางสาววราภรณ์ กล่าวในตอนท้าย