ซีอีโอ"สตาร์เฟล็กซ์"เดินหน้ากลยุทธ์ขยายตลาดเชิงรุกทั้งในประเทศและต่างประเทศ เน้นตลาดบรรจุภัณฑ์เกรดพรีเมี่ยมไปสู่กลุ่ม Food และกลุ่มเครื่องมือแพทย์
เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ดร.สมโภชน์ วัลยะเสวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SFLEX ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนชั้นนำในประเทศ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564) บริษัทฯมีรายได้รวม 429 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.6% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 341.6 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 38.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6 ล้านบาท หรือ 10.4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 34.8 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 1/2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) จำนวน 418.9 ล้านบาท โดยสามารถจัดประเภทเป็น 2 ประเภทหลัก ประกอบด้วย กลุ่มสินค้าอุปโภค (Non-Food) จำนวนเงิน 328.1 ล้านบาท และกลุ่มสินค้าบริโภค (Food) จำนวนเงิน 90.8 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 78.3% และ 21.7% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 1/2564 ภาพรวมผลการดำเนินงานเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ อันเป็นผลมาจากกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทได้รับออเดอร์เพิ่มกว่า 60 รายการ ส่งผลทำให้บริษัทฯ มีรายได้รวมสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา แต่การเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ทำให้สัดส่วนกำไรลดลงในช่วงแรก โดยคาดว่าหากคำสั่งซื้อเข้ามาต่อเนื่องกระบวนการผลิตในช่วงไตรมาส 3/2564 จะส่งผลทำให้ปริมาณการผลิตต่อครั้งเข้าสู่การประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ได้ และจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคตอีกด้วย
ดร.สมโภชน์ กล่าวว่า SFLEX ให้ความสำคัญในเรื่องเทคโนโลยี และนวัตกรรมเป็นอันดับหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีความมั่นคงในเรื่องสินค้าที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ตรงตาม Specification และความปลอดภัย รวมถึงการส่งมอบสินค้าตรงต่อเวลา จึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าใหม่ได้อย่างแน่นอน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SFLEX กล่าวย้ำว่า บริษัทฯ ยังคงเป้าหมาย รายได้จากการขาย Flexible Packaging ไว้ไม่น้อยกว่า 1,560 ล้านบาท จะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานสร้างสถิติสูงสุดใหม่ จากกลยุทธ์การขยายตลาดเชิงรุกทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับการขยายฐานลูกค้าทั้งกลุ่ม Food มากขึ้น โดยคาดว่าปีนี้จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 25-30% และที่เหลือราว 70-75% เป็นยอดขายในกลุ่ม Non-Food เป็นต้น ขณะเดียวกันบริษัทมีการขยายตลาดบรรจุภัณฑ์เกรดพรีเมี่ยมไปสู่กลุ่ม Food และกลุ่มเครื่องมือแพทย์ ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ให้มาร์จิ้นสูง ทำให้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิในปีนี้เติบโตได้อย่าง