SPCG ผลประกอบการดีเกินคาดเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ครึ่งปีแรกฟันกำไรกว่า 1,5 พันล้าน พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.55 บาทต่อหุ้น
ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยผลประกอบการงวด 6 เดือนหรือครึ่งปีแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิกว่า 1,584.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากงวดเดียวกันของปีก่อน และรายได้รวมกว่า 2,629.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากงวดผลดำเนินงาน วันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.55 บาท บริษัทได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลระหว่างกาล (Record Date) ในวันที่ 25 สิงหาคม 2563 และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 4 กันยายน 2563
ดร.วันดี กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีแรกนี้ บริษัทฯ เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากธุรกิจ ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซลาร์ฟาร์ม ทั้ง 36 โครงการ รวมกำลังการผลิตกว่า 260 เมกะวัตต์ โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 มีจำนวนกระแสไฟฟ้าที่ผลิตและจำหน่ายได้จำนวน 200.3 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้นจากปี 2562 (199.8 ล้านหน่วย) จำนวน 0.5 ล้านหน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 0.2 ในขณะที่ บริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด (SPR) ซึ่งดำเนินธุรกิจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) สำหรับบ้านพักอาศัย สำนักงาน อาคารธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจขนาดกลางและธุรกิจขนาดใหญ่ รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรม ในปี 2563 มีรายได้จำนวน 308.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 (262.6 ล้านบาท) จำนวน 46.3 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18
นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังคงมองหาโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายฐานธุรกิจ โดยได้ตั้งเป้าหมายในปี 2580 จะมีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 3,000 เมกะวัตต์ ซึ่งจะยังคงมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจโซลาร์ฟาร์มเป็นหลัก ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง แนวโน้มผลประกอบการในปี 2563 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ทั้งปีไม่ต่ำกว่า 5,500 ล้านบาท ส่วนความคืบหน้าของโครงการโซลาร์ฟาร์ม Ukujima ประเทศญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิตรวม 480 เมกะวัตต์ ปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างขั้นตอนการก่อสร้าง และคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในปี 2566 เป็นต้นไป
ดร.วันดี กล่าวถึงความคืบหน้าธุรกิจด้านการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟ)ว่า ในปีนี้บริษัทมีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเป็น 50 เมกะวัตต์ โดยจะเน้นการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าในภาคโรงงานอุตสาหกรรมเป็นหลัก ภายใต้รูปแบบ Private PPA จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตติดตั้งอยู่ที่ 35 - 40 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นภายใต้ การดำเนินงานของบริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด หรือ SPR ประมาณ 20 เมกะวัตต์ โดยเน้นกลุ่มบ้านที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ และภายใต้บริษัท MSEK Power โดยเน้นกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีงานในมือรวม 15 - 20 เมกะวัตต์ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 400 - 500 ล้านบาท