รมว.พาณิชย์ สั่งเกาะติดสถานการณ์ สินค้าอุปโภค บริโภค รวมทั้งอาหาร อย่างใกล้ชิด

เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์กรณีความกังวลใจของประชาชนเรื่องสินค้าอุปโภค บริโภคว่า กระทรวงพาณิชย์ได้เชิญผู้ประกอบการ รวมทั้งสมาคมที่เกี่ยวกับการผลิตสินค้าอุปโภค บริโภค รวมทั้งอาหาร เพื่อมาหารือที่กระทวงพาณิชย์ไปแล้วครั้งหนึ่ง (เมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา) ในการติดตามสถานการณ์โดยใกล้ชิดถึงสถานการณ์ด้านการผลิต และการตลาดไปแล้ว โดยให้ทุกสมาคมได้ชี้แจงและให้ข้อมูล รวมไปถึงการคาดการณ์สถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร หลังจากนั้นได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงฯ และอธิบดีกรมการค้าภายในได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และรายงานให้ทราบ  ภาพรวมก็คือจะต้องประสานความร่วมมือกันทั้งในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งผู้ประกอบการภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทั้งระบบ

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการจำกัดการซื้อสินค้าบางประเภท เช่นกระดาษทิชชู่ หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการจำกัด แต่ที่สำคัญคือให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งผู้ประกอบการและผู้ค้าส่ง ค้าปลีก ที่ต้องรายงานให้ปลัดกระทรวง และอธิบดีกรมการค้าภายในให้ทราบเพื่อประกอบการพิจารณาตัดสินใจในแต่ละช่วงเวลา

สำหรับ 9 สมาคมที่ได้เชิญมาประชุมเมื่อวันที่ 7 มี.ค. ที่ผ่านมา ประกอบด้วย สมาคมผู้ค้าปลีกไทย สมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุง สมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ สมาคมไทยอุตสาหกรรมผลิตยาแผนปัจจุบัน และสมาคมผู้วิจัยและผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ ซึ่งมีการพูดคุยติดตามสถานการณ์แล้ว

“ผมไม่อยากเห็นการกักตุนเกิดขึ้น เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องที่จะทำให้เกิดปัญหาเรื่องสินค้าหมดตลาดในเวลาที่ไม่สมควร ก็อยากเห็นการจับจ่ายใช้สอยในภาวะปกติอยู่ แต่ถึงอย่างไร ก็ขอเรียนย้ำอีกรอบว่าได้ขอให้ปลัดกระทรวง และอธิบดีกรมการค้าภายในได้ติดตามสถานการณ์ และประสานงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับภาคเอกชน และสมาคมที่เกี่ยวข้อง ว่าขอให้พร้อมตลอดระยะเวลาที่จะต้องมีการหารือ หรือหาสรุปได้ทันทีทุกเวลา” นายจุรินทร์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าขณะนี้ประชาชนตื่นตระหนก และอาจต้องเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าบางประเภท นายจุรินทร์กล่าวว่า ตนไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ยังอยากให้การซื้อเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นไปในภาวะปกติมากกว่า อย่างน้อยที่สุด บุคคลอื่นจะได้มีเหลือซื้อด้วยได้ ไม่เช่นนั้นก็จะไปกองอยู่คนจำนวนหนึ่ง ซึ่งอาจจะทำให้คนอีกจำนวนหนึ่งไม่สามารถซื้อหาได้