SPCG โชว์ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2562 กวาดรายได้รวมแข็งแกร่งกว่า 2,600 ล้านบาท กำไรสุทธิกว่า 1,520.1 ล้านบาท ประกาศจ่ายปันผล 0.5 บาทต่อหุ้น พร้อมเดินหน้าขยายฐานธุรกิจโซลาร์ต่อเนื่องทั้งในไทยและต่างประเทศ ประกาศร่วมลงทุนโครงการ Mega Solar ที่ญี่ปุ่นอีก 469 M
เมื่อวันที่ 13 ส.ค. ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ “SPCG” แถลงผลประกอบการงวด 6 เดือนหรือครึ่งปีแรก สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2562 บริษัทมีกำไรสุทธิกว่า 1,520.1ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 จากงวดเดียวกันของปีก่อนและทำรายได้รวมกว่า 2,600 ล้านบาท ดังนั้นคณะกรรมการบริษัท จึงมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากงวดผลดำเนินงาน วันที่ 1 ม.ค. – 30 มิ.ย. 2562 ในอัตราหุ้นละ 0.5 บาท ทั้งนี้ บริษัทได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลระหว่างกาล (Record Date) ในวันที่ 28 ส.ค.2562 กำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 6 ก.ย. 2562
ดร.วันดี กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีแรกนี้ บริษัทฯ ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์หรือ โซลาร์ฟาร์มทั้ง 36 โครงการ รวมกำลังการผลิตกว่า260 เมกะวัตต์ และโครงการโซลาร์ฟาร์มที่เมืองทอตโตะริประเทศญี่ปุ่น ขนาด 30 เมกะวัตต์ รวมไปถึงยอดขายโซลาร์รูฟ จากลูกค้าทั้ง 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มบ้านพักอาศัย , กลุ่มอาคารพาณิชย์ และ กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ยังคงให้การตอบรับเป็นอย่างดี เพราะเมื่อลูกค้าติดโซลาร์รูฟของบริษัทแล้ว ต่างเห็นผลลัพธ์ที่ดี สามารถลดค่าไฟได้ทันที ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน ทำให้กิจการของลูกค้ามีกำไรเพิ่มขึ้น
ดร.วันดี กล่าวต่อว่า ความคืบหน้าของโครงการโซลาร์ฟาร์ม Ukujima ประเทศญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิต 469 เมกะวัตต์ที่เป็นการร่วมทุนของ 8 บริษัท ได้แก่ Kyocera Corporation, Kyudenko Corporation, Mizuho Bank, SPCG Pubic Company Limited, Tokyo Century Corporation, Furukawa Electric Company Limited, Tsuboi Corporation และ The Eighteenth Bank Limited งบการลงทุนกว่า 60,000 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการยื่นเอกสารสำคัญต่างๆ และจะเข้าสู่ขั้นตอนการก่อสร้างต่อไป โดยจะมีการแจ้งให้ทราบถึงสัดส่วนในการถือหุ้นเร็วๆนี้
สำหรับ ความคืบหน้าของโครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) ที่ได้ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับทั้ง 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท Mitsubishi UFJ Lease & Finance Company Limited หรือ MUL, บริษัทพีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัดหรือ PEA ENCOM และ บริษัท KYOCERA Corporation, Japan หรือ KYOCERA ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมานั้น ตอนนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดตั้งบริษัทร่วมกัน คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงเดือนกันยายน 2562 นี้ โดยตั้งเป้าในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) ให้กับกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม ภายในสิ้นปี 2563กำลังการผลิตรวม 100 เมกะวัตต์