“คิสออฟบิวตี้” เปิดกลยุทธ์ เผยหัวใจหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจความงาม สู่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น เร่งเครื่องพัฒนาคุณภาพงานพร้อมเติบโตในระดับอาเซียน
บริษัท คิสออฟบิวตี้ จำกัด กว่า 9 ปี กับธุรกิจความงามของคนไทย เจ้าแรกในการบุกเบิกตลาดโลชั่นน้ำหอมในไทย ภายใต้แบรนด์ “มาลิสสา คิส (Malissa Kiss)” พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านความงาม-อุปโภคบริโภค เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าด้วยความเข้าใจ ผ่านความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยี พัฒนาคุณภาพชีวิตลูกค้าให้ดีที่สุด เสริมทัพ 2 แบรนด์คุณภาพ “สกินอ๊อกซี่ (Skinoxy)” ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า แทงกีโมรี (Daeng Gi Meo Ri) ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นพรีเมียมจากเกาหลี ตอกย้ำมาตรฐานการผลิตที่ผ่านการตรวจสอบและรับรองคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทั้งมาตรฐาน GMP และ ISO เร่งเครื่องปรับกลยุทธ์เดินหน้าธุรกิจสู่ ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น ด้วย การตลาดแบบออมนิชาแนล (Omni Channel) ถึงไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าที่เปลี่ยนไป ทั้งในรูปแบบออนไลน์ผสานออฟไลน์ และการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการใช้ข้อมูล (Data Driven & Digitisation) วิเคราะห์ข้อมูลและเข้าใจถึงพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น รวมทั้ง การทำธุรกิจออนไลน์ข้ามประเทศ (Cross Border Ecommerce) การขยายตลาดการส่งออกและเติบโตสู่ต่างประเทศในรูปแบบออนไลน์เพื่อลดเวลา และต้นทุน ตั้งเป้าขยายกลุ่มลูกค้าทั่วทั้งอาเซียน 50 ล้านคน ภายใน 3 ปี
นายกิตติพนธ์ นามพิชญ์ธนสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิสออฟบิวตี้ จำกัด กล่าวถึงหัวใจหลักในการทำธุรกิจว่า “คิสออฟบิวตี้ ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรก WE THINK CUSTOMER FIRST เราใส่ใจในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกมิติให้กับลูกค้า ด้วยการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด (innovation) ควบคู่ไปกับแนวคิดในการตั้งราคาที่เหมาะสม (affordability) และส่งมอบสินค้าคุณภาพดีเยี่ยม (quality) แก่กลุ่มลูกค้าทุกคน ไม่ใช่แค่เพียงในประเทศไทยแต่ต้องเป็นระดับอาเซียน ผ่านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อให้ลูกค้าได้รู้สึกสนุกสนานไปกับการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนสวยงามโดดเด่นในแบบของตัวเอง การส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพเพื่อมอบความสุขทุกครั้งที่ได้หยิบใช้ผลิตภัณฑ์”
“ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา คิสออฟบิวตี้ให้ความใส่ใจในทุกกระบวนการผลิตของโรงงานและคุณภาพผลิตภัณฑ์มาโดยตลอด ภายใต้มาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ไม่ว่าจะเป็น ‘GMP’ มาตรฐานควบคุมการผลิต ที่ผ่านการตรวจสอบและรับรองคุณภาพโดย TUV NORD สถาบันรับรองความปลอดภัยของประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตระดับสากลที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติทั่วโลก และ ‘ISO 22716’ ระบบจัดการด้านสุขลักษณะที่ดีในการผลิตเครื่องสำอาง ระบบมาตรฐาน
ระเบียบใหม่ของสหภาพยุโรป ซึ่งครอบคลุมการจัดการเรื่องการควบคุมคุณภาพการผลิต การจัดเก็บ บรรจุภัณฑ์และฉลาก การตรวจสอบกลับได้ การขนส่ง ตลอดจนระบบควบคุมเอกสารและบันทึกคุณภาพ ควบคุมอันตรายและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในด้านความปลอดภัย ความยั่งยืน”
ปัจจุบัน คิสออฟบิวตี้ พัฒนาแบรนด์สินค้าคุณภาพออกมา 8 แบรนด์หลักด้วยกัน เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าอย่างหลากหลาย
1. มาลิสสา คิส (Malissa Kiss) ประกอบด้วย 7 ประเภทผลิตภัณฑ์ โลชั่นน้ำหอม สเปรย์น้ำหอม เจลว่านหางจระเข้ เครื่องหอมภายในบ้าน ครีมอาบน้ำ โฟมล้างมือ และสเปรย์แอลกอฮอล์แบบพกพา
2. แทงกีโมรี (Daeng Gi Meo Ri) ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมพรีเมียมจากเกาหลี ซึ่งเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
3. สกินอ๊อกซี่ (Skinoxy) ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า
4. มุนอา เฮ้าส์ (MoonA House) ประกอบด้วย 3 ประเภทผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า โลชั่นน้ำหอมแบบซอง สเปรย์น้ำหอมขนาดพกพา
5. ทูซัมวัน (2Some1) ผลิตภัณฑ์โลชั่นน้ำหอมแบบซอง
6. คลารีน่า (Claryna) ประกอบด้วย 2 ประเภทผลิตภัณฑ์ เครื่องทำความสะอาดผิวหน้า และ เครื่องกรองน้ำสำหรับการอาบน้ำ
7. จูเลียต โคล (Juliet Cole) ประเภทผลิตภัณฑ์น้ำหอม
8. ยูมะ (Yuma) ประกอบด้วย 4 ประเภทผลิตภัณฑ์ เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ทิชชู่เปียกผสมแอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัยที่มีคุณสมบัติป้องกัน PM 2.5 และหน้ากากอนามัยสำหรับเด็ก โดย คิสออฟบิวตี้ ได้นำเสนอทุกแบรนด์ผ่านช่องทางการขายทั้งช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์อย่างครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมตอกย้ำคุณภาพและความสำเร็จด้วยรางวัลการันตีจากวัตสัน ประเทศไทย ในรางวัลสุดยอดสินค้าขายดี Health Wellness and Beauty Awards ประเภท ‘โลชั่นน้ำหอมยอดขายดีที่สุด’ ติดต่อกันถึง 5 ปีซ้อน (2560-2564)
“ในส่วนของกลยุทธ์ในการพัฒนาธุรกิจ พร้อมทรานฟอร์มสู่ดิจิทัล คิสออฟบิวตี้ได้วางไว้ 4 แกนหลักด้วยกัน
1. การบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต (Business Continuity Planning) คือการมีแผนงานสำรองอย่างชัดเจนเพื่อรองรับทุกปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในสถานการณ์โลกต่างๆ. การตลาดแบบออมนิชาแนล (Omni Channel) การผสานโลกออนไลน์และออฟไลน์เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อตอบรับกับไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าในปัจจุบันที่เปลี่ยนไป
3. การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการใช้ข้อมูล (Data Driven & Digitisation) ด้วยการนำข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์ เพื่อทำความเข้าใจถึงพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น และนำมาปรับกลยุทธ์ต่างๆ ภายในบริษัท
4. การทำธุรกิจออนไลน์ข้ามประเทศ (Cross Border Ecommerce) เป็นโอกาสในการขยายตลาดการส่งออก และเติบโตสู่ต่างประเทศ ภายใต้งบประมาณที่ต่ำกว่าการส่งออกในรูปแบบเดิมๆ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้มีการส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มประเทศต่างๆ ทั้ง จีน ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย และมีแผนที่จะขยายให้ครอบคลุมไปยังกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์) อีกด้วย พร้อมตั้งเป้า 25:50:50 เป็นสัดส่วนของเป้าหมายที่กำลังเร่งเดินหน้าให้เกิดขึ้นภายในปี 2025 โดยบริษัทจะมีลูกค้า 50 ล้านคน ทั่วทั้งอาเซียน และมียอดขายจากช่องทางออนไลน์ 50%” นายกิตติพนธ์ กล่าวทิ้งท้าย