ผู้ว่าฯกทม.ตรวจการติดตั้งและทดสอบประสิทธิภาพการทำงานเครื่องหอสูงฟอกอากาศเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 เตรียมติดตั้งให้ครบ 50 เครื่องทั่วกรุง
เมื่อวันที่ 10 ต.ค.พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม.ตรวจเยี่ยมการติดตั้งและเปิดเดินเครื่องหอสูงฟอกอากาศบริเวณศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องในการลดปริมาณฝุ่นและมลพิษทางอากาศโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน หากอยู่ในเกณฑ์เกินมาตรฐานกำหนด 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยมี พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รองผู้ว่าฯ นางบุษบา จิราธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจเยี่ยม ณ บริเวณศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เขตปทุมวัน
พล.ต.อ.อัศวิน เปิดเผยว่า กทม.ได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในการทดลองติดตั้งหอสูงฟอกอากาศขนาดความสูง 4 เมตรกว้าง 1.5 เมตรน้ำหนักประมาณ 200 กิโลกรัม ใช้หลักการทำงานของพัดลมขนาดใหญ่ที่มีปริมาณลมสูง และกำลังการดึงลมสูงดึงอากาศให้ไหลผ่านแผ่นกรองฝุ่น 2 ชั้นโดยปล่อยอากาศบริสุทธิ์ออกทางด้านบน มีอัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์ไม่น้อยกว่า 17,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ครอบคลุมพื้นที่ไม่น้อยกว่า 1,000 ตารางเมตรโดยใช้กำลังไฟฟ้า 3.5 กิโลวัตต์ ซึ่งในส่วนนี้ก็ได้รับความร่วมมือจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์เขตปทุมวัน ที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายของกำลังไฟฟ้า
ทั้งนี้ กทม.ยังได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องวัดฝุ่นละอองขนาดเล็กทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานครไปแล้วจำนวน 24 เครื่อง ส่วนที่เหลืออีก 26 เครื่องกรุงเทพมหานครจะเร่งติดตั้งให้แล้วเสร็จภายในเดือนธ.ค.นี้
ผู้ว่าฯกทม.กล่าวว่า กทม.จะดำเนินการทดลองติดตั้งหอสูงฟอกอากาศจนกว่าสถานการณ์ฝุ่นจะคลี่คลายเป็นเวลา 2-3 เดือนโดยจะเปิดทดลองเดินเครื่องตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานในการลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ซึ่งวันนี้ก่อนเปิดทดลองเดินเครื่องได้มีการวัดค่าฝุ่นละอองพบค่าฝุ่นละอองอยู่ที่ 31 ไมโครกรัมซึ่งขณะนี้ลดลงอยู่ที่ 28 ไมโครกรัมซึ่งยอมรับว่าได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจแต่กรุงเทพมหานครจะมีการประเมินสถานการณ์ฝุ่นดังกล่าวอยู่เป็นระยะ
สำหรับ การติดตั้งหอสูงฟอกอากาศเป็นเพียงมาตรการเสริมในการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยแก่ประชาชน ควบคู่ไปกับมาตรการต่างๆ ที่กทม.ดำเนินการอยู่ แต่การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศที่ต้นเหตุจริงๆนั้น จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนในการลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลหันมาใช้บริการขนส่งมวลชนมากขึ้น บำรุงรักษาเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพดีและไม่ก่อให้เกิดมลพิษซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดปัญหาฝุ่นละอองดังกล่าว