.
เชื่อว่าทุกคนคงคุ้นเคยกับนมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ตหลากหลายยี่ห้อที่บรรยายสรรพคุณถึงจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ เช่น แลคโตบาซิลัส และคงจะสงสัยว่าจุลินทรีย์เหล่านั้นทำงาน ส่งผลต่อร่างกายอย่างไร ทำไมเราถึงต้องรับประทานนมเปรี้ยวกันด้วย แท้จริงแล้วไม่ใช่แค่ร่างกายมนุษย์เท่านั้นที่มีจุลินทรีย์เหล่านี้ ในร่างกายของสัตว์เลี้ยงของเราไม่ว่าจะเป็นสุนัข แมว หรือสัตว์อื่นๆ จุลินทรีย์เหล่านี้ก็มีบทบาทสำคัญมากเช่นเดียวกัน การศึกษาพบว่ามีจุลินทรีย์จำนวนมากมายในร่างกายของสุนัข โดยจริงๆแล้วจำนวนของพวกมันมากกว่าจำนวนเซลล์ของตัวสุนัขเองถึง 10 เท่าเลยด้วยซ้ำและจุลินทรีย์เหล่านี้มีอยู่ในแทบทุกระบบของร่างกาย ทั้งบนผิวหนัง ทางเดินปัสสาวะ หรือ ทางเดินอาหาร จุลินทรีย์เหล่านี้มีปฏิสัมพันธ์กับเซลล์ของสุนัขหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบพึ่งพาอาศัยกัน หรืออยู่แล้วก่อโรค ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อและปริมาณของเชื้อโดยส่วนใหญ่มักจะก่อประโยชน์หากมีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในปริมาณที่เหมาะสม
ตัวอย่างที่น่าจะคุ้นเคยกันมากที่สุดน่าจะเป็น จุลินทรีย์ในทางเดินอาหาร เพราะเป็นประชากรหลักของจุลินทรีย์ในร่างกาย การที่เรากินโยเกิร์ตเข้าไป ก็เพื่อเพิ่มจุลินทรีย์ที่ดีต่อลำไส้ และช่วยลดสัดส่วนของจุลินทรีย์ก่อโรคให้น้อยลง โดยจุลินทรีย์ที่ดีเหล่านี้จะช่วยเรื่องการนำสารอาหารไปใช้ การทำงานของทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกันของทางเดินอาหารด้วย เช่นจุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่ ทำหน้าที่ในการเปลี่ยนสารอาหารบางอย่างให้กลายเป็นกรดไขมันสายสั้นๆ (short-chain fatty acid; SCFA) เพื่อเป็นอาหารให้กับเยื่อบุผนังลำไส้ และตัวลำไส้เองก็จะผลิตเมือกเพื่อเป็นอาหารให้กับจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ เรียกว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่ายนั่นเอง ที่น่าสนใจก็คือ จุลินทรีย์ในลำไส้ของกลุ่มสุนัขที่แข็งแรงปกติ และในกลุ่มที่เป็นโรคก็ยังมีความแตกต่างกันด้วย ดังนั้นในอาการป่วยบางอย่างในสุนัข เช่น ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ลำไส้อักเสบจากไวรัส โรคมะเร็ง หรือแม้กระทั่งในกลุ่มสุนัขที่อ้วน และกลุ่มที่น้ำหนักปกติก็จะมีสัดส่วนและชนิดของแบคทีเรียในลำไส้ที่แตกต่างกัน ปัจจุบันได้มีการศึกษาเรื่องเหล่านี้มากขึ้นมาก จึงเป็นที่มาของการใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต่างๆ อันประกอบด้วย พรีไบโอติก, โพรไบโอติก หรือซินไบโอติก เป็นองค์ประกอบ โดยมีความเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีคุณสมบัติที่จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกัน และการทำงานของระบบทางเดินอาหารดีขึ้น
แล้ว probiotics คืออะไร?
Probiotics (โพรไบโอติก) คือจุลินทรีย์ที่มีชีวิต เมื่อบริโภคเข้าไปในปริมาณที่เหมาะสมจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายของผู้บริโภคได้ในภาวะต่างๆ โดยต้องมีความทนต่อทั้งความเป็นกรดและด่าง สามารถจับกับบริเวณผิวเยื่อบุลำไส้แล้วผลิตสารต่อต้าน หรือกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อโรคได้ ทั้งนี้ส่วนของโพรไบโอติกจึงค่อนข้างยากต่อการรักษาความคงตัวของตัวเชื้อ เพราะเชื้ออาจโดนทำลายด้วยน้ำย่อยในทางเดินอาหาร และตายก่อนที่จะลงไปถึงจุดหมาย ซึ่งก็คือลำไส้ใหญ่นั่นเอง
Prebiotics (พรีไบโอติก) คือ อาหารชนิดหนึ่งซึ่งร่างกายไม่สามารถย่อยและดูดซึมได้ที่ลำไส้เล็ก อาหารเหล่านี้จะเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ในรูปแบบที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงและจะถูกย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ กระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโตและการทำงานของจุลินทรีย์ที่ดีได้ กล่าวง่ายๆก็คือ พรีไบโอติกก็คืออาหารของโพรไบโอติกนั่นเอง
ส่วน Synbiotics (ซินไบโอติก) คือ ส่วนผสมระหว่างพรีไบโอติกและโพรไบโอติกโดยจะสามารถใช้คำว่าซินไบโอติกได้ก็ต่อเมื่อผลรวมระหว่างสองสิ่งที่แสดงออกมาแล้วเป็นผลบวกให้เห็นจริงแล้วเท่านั้น
จากนิยามของทั้ง 3 อย่างที่กล่าวมาในข้างต้น จะพบว่าทั้งโพรไบโอติกและซินไบโอติกมีตัวเชื้อจุลินทรีย์เป็นองค์ประกอบ จึงยากแก่การนำมาผสมในอาหารสัตว์แล้วยังคงประสิทธิภาพอยู่ได้ แต่พรีไบโอติกนั้นเป็นส่วนประกอบของอาหารโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นกลุ่มของไฟเบอร์ซึ่งก็คือคาร์โบไฮเดรตที่ไม่สามารถย่อยได้ด้วยกระบวนการย่อยของสัตว์เอง แต่ต้องผ่านการย่อยของจุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่และผลผลิตจากการย่อยสามารถนำไปเป็นอาหารสำหรับเซลล์เยื่อบุลำไส้และแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในลำไส้ ทำให้แบคทีเรียเหล่านั้นยังคงเป็นประชากรหลักในลำไส้ต่อไป
พรีไบโอติกนั้นมีหลายชนิดแต่ชนิดที่พบได้บ่อยได้แก่ oligosaccharides (โอลิโกแซ็กคาไรด์) ซึ่งสามารถพบได้ในอาหารจำพวก ผลไม้ ผัก เช่นต้นหอมญี่ปุ่น และธัญพืช สารนี้เป็นน้ำตาลที่มีความซับซ้อน ทำให้เอนไซม์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมไม่สามารถย่อยได้ จึงสามารถผ่านไปถึงลำไส้ใหญ่ได้นั่นเอง น้ำตาลในกลุ่มนี้ได้แก่ mannanoligosaccharide (MOS) และ Fructooligosaccharides (FOS) เมื่อไปถึงลำไส้ใหญ่ก็จะผ่านกระบวนการหมักโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ ได้ผลิตภัณฑ์เป็นกรดไขมันสายสั้นๆ อันได้แก่ กรดแลคติก กรดอะซิติก และบิวทิเรต ที่น่าสนใจคือแบคทีเรียเหล่านี้จะอยู่กันแบบพึ่งพาอาศัยกัน ทั้งยังช่วยกำจัดเชื้อก่อโรคที่เข้ามารุกรานอีกด้วย ยังมีการศึกษาในลูกสุนัข 2 กลุ่ม แบ่งเป็น กลุ่มที่ได้รับ FOS 1% ในอาหาร และไม่ได้รับ FOS ในอาหาร หลังจากทำการทดลองเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ก็ให้ลูกสุนัขเหล่านี้ กินจุลินทรีย์ก่อโรคเข้าไปในร่างกาย พบว่าในกลุ่มที่เสริม FOS ในอาหารมีอาการจากการติดเชื้อก่อโรคน้อยกว่าและมีการทดลองในหนูพบว่าในกลุ่มที่ได้รับ FOS เชื้อก่อโรคจะเพิ่มจำนวนในลำไส้ได้น้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับ FOS
เนื่องจากสุนัขเป็นสัตว์ที่กินเนื้อในสัดส่วนที่มาก อาหารสำหรับสุนัขนั้นมักจะต้องมีโปรตีนเป็นองค์ประกอบในปริมาณที่สูง ซึ่งการบริโภคโปรตีนที่มากก็จะก่อให้เกิดของเสียจากการย่อยสลายโปรตีน เช่น แอมโมเนีย และกรดไขมันบางชนิดในลำไส้ส่วนปลายของสุนัข พบว่าการเสริม FOS ในอาหารทำให้ของเสียเหล่านี้ลดลงได้ โดยทำให้กลุ่มของจุลินทรีย์ที่ย่อยคาร์โบไฮเดรต (Bifidobacterium) มีจำนวนเพิ่มขึ้น เพื่อคานสัดส่วนกับแบคทีเรียที่ย่อยโปรตีน ทำให้อุจจาระของสัตว์เป็นก้อนสวยขึ้น และกลิ่นเหม็นลดลง นอกจากนี้ยังพบว่าการเสริม FOS ลงในอาหารสุนัขยังทำให้การดูดซึมของแร่ธาตุบางชนิด เช่นแคลเซียม และแมกนีเซียมในอาหารดีขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับผลของ FOS ในสุนัขที่อ้วน และมีภาวะดื้อต่อฮอร์โมอินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ในการนำน้ำตาลในเลือดไปสร้างเป็นพลังงานและลดระดับน้ำตาลในเลือดลง ความอ้วนจะส่งผลให้การจับของอินซูลินและตัวรับของอินซูลินยากขึ้น ส่งผลให้ออกฤทธิ์ได้ลดลง เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินขึ้น หากเกิดอย่างต่อเนื่องนานเข้าอาจจะทำให้ตับอ่อนทำงานหนักและเกิดการอ่อนล้าของเซลล์ตับอ่อนขึ้นได้ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคเบาหวานตามมาได้ การเสริม FOS ในสุนัขกลุ่มนี้ สามารถทำให้ภาวะการดื้อต่ออินซูลินดีขึ้นได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำให้น้ำหนักลดลงก็ตาม แต่จะช่วยลดโอกาสในการเป็นเบาหวานในอนาคตได้ อาหารที่เสริม FOS ลงไป 0.6% ในอาหารได้รับการยืนยันว่าสามารถช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ของสัตว์ โดยจะทำให้เป็นกลุ่มของแบคทีเรียที่ดี โดยพบว่าหลังจากการเสริม FOS ในอาหารเม็ดแล้ว ทำให้ประชากรของแบคทีเรียที่ดี เช่น ไบฟิโดแบคทีเรีย หรือ แลคโตบาซิลัส เพิ่มมากขึ้นถึง 2-3 เท่า และช่วยทำให้การย่อยอาหารที่ลำไส้เล็กมีประสิทธิภาพดีขึ้นได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามปริมาณ 0.6% ของ FOS นั้นเป็นปริมาณที่ค่อนข้างสูงจึงต้องหาข้อมูลหรือคำนวนให้ดีก่อน
สพ.ญ.ฐิตา เตโชฬาร สัตวแพทย์ประจำคลินิกหัวใจ คลินิกระบบขับถ่ายปัสสาวะ และคลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเสริมว่า “เจ้าของสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่มักทราบดีว่าต้องดูแลสัตว์เลี้ยง โดยการพาไปตรวจสุขภาพประจำปี การให้อาหารที่เหมาะสม การออกกำลังกาย การทำวัคซีน หรือการป้องกันเห็บหมัด แต่เชื่อว่าหลายท่านคงคิดไม่ถึงว่าเรายังต้องดูแลแบคทีเรียในลำไส้ของสัตว์เลี้ยงอีกด้วย และมีหลายปัจจัยที่สามารถรบกวนสมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็นความเครียด การได้รับควันบุหรี่ การนอนหลับที่ไม่สนิท ยาลดกรด เป็นต้น และสัตวแพทย์ผู้ศึกษาเรื่องนี้ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าอาหารสามารถช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ เพราะไฟเบอร์หรือพรีไบโอติกที่เสริมในอาหารนั้นจะเป็นอาหารสำหรับจุลินทรีย์ที่ดีและทำให้จำนวนของจุลินทรีย์ที่ดีนั้นเพิ่มขึ้นและน่าจะส่งผลที่ดีขึ้นต่อสุขภาพของสัตว์ ทั้งยังส่งผลบวกต่อการรักษาโรคหลายโรค เช่นโรคลำไส้อักเสบ เบาหวาน เป็นต้น”
สพ.ญ.วธุวรรณ พฤกษนันต์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารวิชาการสัตว์เลี้ยง มาร์ส ไทยแลนด์ อิงค์ ยังกล่าวเสริมอีกว่า “พรีไบโอติกเป็นหนึ่งในอาหารสำคัญของจุลินทรีที่ดีที่ช่วยให้การทำงานของระบบทางเดินอาหารเป็นไปได้ด้วยดีและยังช่วยเรื่องการขับถ่าย การลดอาการอักเสบของลำไส้ แต่การเพิ่มสารดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่เจ้าของสุนัขสามารถทำได้เอง เนื่องจากพรีไบโอติกมักอยู่ในอาหารที่ไม่เหมาะกับสัตว์เลี้ยง อาทิ ต้นหอมญี่ปุ่น อาหารหมักดอง หรือโยเกิร์ต ด้วยเหตุนี้ IAMS (ไอแอมส์) จึงได้พัฒนาอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีกลุ่มของพรีไบโอติกที่สำคัญได้แก่ FOS หรือ Fructo-oligosaccharide และยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์จาก Beet Pulp สูตรเฉพาะของ IAMS (ไอแอมส์) ที่ช่วยสนับสนุนระบบย่อยและขับถ่ายที่ดีของสัตว์เลี้ยง”
ความมหัศจรรย์ของจุลชีพในร่างกายของทั้งมนุษย์และสัตว์นั้นยังมีอีกมากมาย และความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายของเราและจุลชีพเหล่านั้นอาจมีมากกว่าที่เราจะจินตนาการได้ การศึกษาเกี่ยวกับจุลชีพยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ทั้งการนำจุลชีพไปใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ปัจจุบันบางโรคสามารถรักษาได้ด้วยการปลูกถ่ายจุลชีพของคนปกติเข้าสู่ร่างกายคนที่เป็นโรค เป็นต้น สำหรับการใช้ประโยชน์ในทางสัตวแพทย์ในปัจจุบันนั้น มีทั้งการเสริมพรีไบโอติกและโพรไบโอติกในหลายกรณี ทั้งในกรณีที่สัตว์ป่วยเป็นโรค และปรับสมดุลในร่างกายของสัตว์ปกติ ซึ่งยังคงมีการศึกษาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ข้อมูลในเชิงลึก เพื่อเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต